ปี 2030 ยานยนต์ไฟฟ้าจะฆ่าอุตสาหกรรมน้ำมัน
ผู้ค้ารถยนต์ ศูนย์ซ่อม บ.ประกัน หมดอนาคต
ถูกพลิกโฉมเพราะความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
รถอีวี มีอายุการใช้งาน 800,000 กิโลเมตร
รถมีน้อยลง 5 เท่า ค่าขนส่งถูกลง 10 เท่า
ผมเคยนำเรื่องของ โทนี่ เซบา มาเสนอหลายครั้ง เขาเป็นคนดังที่เป็น นักเขียน นักธุรกิจ นักวิชาการจากสแตนฟอร์ด ที่ยังคงทำงานอยู่ในแวดวงเทคโนโลยีในซิลิคอนวัลเลย์ ของอเมริกา
โทนี่ เซบา ทำการศึกษาอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับการพลิกโฉมของธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการคิดค้นใหม่ๆหรือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเน้นเป็นพิเศษในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์และพลังงานสะอาด
โทนี เซบา คาดการณ์ว่า Transportation as a Service หรือ TaaS ซึ่งหมายถึง “การขนส่งที่เป็นบริการ” จะเป็นรูปแบบธุรกิจที่มาฆ่าทำลายอุตสาหกรรมน้ำมันของโลกใน 10 ปีข้างหน้า เขาเพิ่งเสนอรายงานผลการศึกษาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2017 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการไฟฟ้าและภาคการขนส่ง
หลายปีที่ผ่านมานี้ โทนี เซบา ได้ศึกษาข้อมูลและร่วมประชุมสัมมนากับผู้คนในวงการต่างๆมากมาย เพื่อตรวจสอบสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์และน้ำมัน ซึ่งมีข้อสรุปที่เป็นการคาดการณ์อนาคตที่น่าแปลกใจอย่างมาก
ค่าย ปตท ของไทยก็เคยเชิญ โทนี่ เซบา มาบรรยายในประเทศไทยเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2016
ในวงการยานยนต์ มี 2 เรื่องใหญ่ ที่จะส่งผลรุนแรงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ การเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า และ “การขนส่งที่เป็นบริการ”
ถ้าผู้ใช้รถยนต์หันมาซื้อยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดแทนที่จะเป็นรถใช้น้ำมันแบบดั้งเดิมที่เป็น Internal Combustion Engine car หรือ ICE ก็จะเกิดการพลิกโฉมรุนแรงในอุตสาหกรรมรถยนต์
แต่ยังมีเรื่องของ “การขนส่งที่เป็นบริการ” หรือ TaaS ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจที่จะมาเปลี่ยนแปลงระบบการขนส่งทั้งระบบ เพราะยานยนต์ไร้คนขับจะทำให้ความต้องการเป็นเจ้าของรถยนต์ลดน้อยลง ผู้คนที่จำเป็นต้องเดินทางสามารถเลือกใช้ยานยนต์ไร้คนขับให้ไปรับและส่งตามจุดหมายต่างๆเมื่อมีความต้องการเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีรถยนต์ส่วนตัวของแต่ละคน
จากการศึกษาของ โทนี่ เซบา พบว่าภายในปี 2030 เมื่อนับระยะทางเป็นไมล์สำหรับการเดินทางของคนอเมริกัน จะมีอัตราส่วนมากถึง 95 % ที่เกิดจาก “การขนส่งที่เป็นบริการ” หรือ TaaS เป็นการเรียกใช้บริการเมื่อมีความต้องการเท่านั้น
การพลิกโฉมในโลกยานยนต์ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์อะไร ทุกอย่างถูกขับเคลื่อนด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ
*ยานยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับที่ถูกใช้ในธุรกิจ “การขนส่งที่เป็นบริการ” จะมียอดรวมคิดเป็น 60% ของรถยนต์ในอเมริกา
*มีรถยนต์น้อยลงและรถที่มีอยู่จะถูกใช้ประโยชน์ด้วยการเดินทางที่มากขึ้น ในปี 2020 จำนวนรถยนต์ในอเมริกาที่มีมากถึง 247 ล้านคัน จะลดเหลือเพียง 44 ล้านคันในปี 2030
*การเลือกใช้ TaaS หรือ “การขนส่งที่เป็นบริการ” จะทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงระหว่าง 4-10 เท่า เมื่อเทียบกันไมล์ต่อไมล์กับการซื้อรถใหม่ และยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ถูกลงประมาณ 2-4 เท่า เมื่อเทียบกับการเป็นเจ้าของรถยนต์ของตัวเอง
*ต้นทุนของ TaaS ที่ต่ำมาก เกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น อัตราการใช้ประโยชน์ของยานยนต์ที่มากขึ้นกว่า 10 เท่า, อายุการใช้งานของยานยนต์ไฟฟ้าที่มีมากกว่า 500,000 ไมล์ หรือ 800,000 กิโลเมตร, ค่าบำรุงรักษาที่ต่ำมาก, ค่าพลังงานราคาถูก, ต้นทุนยานยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาต่ำ, ไม่ต้องเสียค่าประกันรถยนต์
*หากมีการเลิกใช้รถที่ใช้น้ำมันแบบดั้งเดิม แต่เปลี่ยนเป็นการเดินทางด้วยรถไร้คนขับซึ่งเป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่มาจาก “การขนส่งที่เป็นบริการ” โดยเฉลี่ยแล้ว ครอบครัวอเมริกันจะประหยัดเงินได้มากถึง $5,600 หรือประมาณ 196,000 บาท ต่อปี
รถยนต์ใช้น้ำมันแบบดั้งเดิมที่ออกขายให้กับประชาชนจะมีการผลิตออกขายที่ลดต่ำลงต่อเนื่องจนกลายเป็นศูนย์
ลองนึกภาพผลกระทบที่จะเกิดขึ้นและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหลายๆอุตสาหกรรมจากการศึกษาของ โทนี่ เซบา มันรุนแรงและน่าตกใจมากจริงๆ
ถ้ารถยนต์โดยสารและรถบรรทุกมีการผลิตลดลง 70% ในแต่ละปี ระบบซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์จะหดตัวจากปัจจุบันมากกว่าครึ่ง งานเป็นล้านตำแหน่งต้องสูญหายไป และจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งระบบ
โทนี่ เซบา เชื่อว่า ผู้ค้ารถยนต์ ศูนย์ซ่อมบำรุงรักษา บริษัทประกัน จะประสบปัญญาอย่างหนัก และอาจรุนแรงถึงขั้นถูกทำลายให้หมดไปจากระบบ
ผู้ผลิตรถยนต์อย่าง GM และ Ford จะมีอัตราส่วนกำไรที่ลดต่ำลงอย่างมาก แต่ผู้ผลิตรถยนต์อาจมีการปรับเปลี่ยนธุรกิจเป็น TaaS หันมาเป็นผู้ผลิตยานยนต์ไร้คนขับเพื่อใช้สำหรับ “การขนส่งที่เป็นบริการ”
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ทางค่าย GM ลงทุนเงินไปแล้วมากถึง $500 ล้าน หรือประมาณ 17,500 ล้านบาท ไปกับ Lift ที่เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ Ride-Sharing หรือระบบรถแบ่งกันใช้
อุตสาหกรรมน้ำมันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น?
โทนี เซบา บอกว่า ความต้องการใช้น้ำมันของทั้งโลกในปี 2020 จะมีจุดสูงสุดที่ 100 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่จะลดลงเหลือ 70 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2030 คงสร้างผลกระทบให้บริษัทต่างๆมากมาย ทั้งนี้จะมากหรือน้อยอาจขึ้นอยู่กับความผันผวนของราคาน้ำมัน
ภายในปี 2030 ราคาน้ำมันจะลดต่ำเหลือ $25 ต่อบาเร์เรล ซึ่งอาจทำให้เกิดการล่มสลายในอุตสาหกรรมได้เลย โดยอุตสาหกรรมน้ำมันจะเริ่มต้นเห็นวิกฤติกันตั้งแต่ปี 2021
ถ้าข้อมูลและการวิเคราะห์ครั้งนี้ของโทนี่ เซบา ถูกต้อง เศรษฐกิจของรัฐที่พึ่งพาน้ำมันอย่าง Texas และ Alberta ของประเทศอเมริกาและคานาดา คงอยู่ในสภาพเหมือนกับการเอาปีนจ่อหัวเตรียมฆ่าตัวตาย
ผู้ค้าน้ำมันจาก Alberta ในอเมริกาเหนือหรือแคนาดา ได้ประมาณการว่าในปี 2025 จะสามารถผลิตน้ำมันออกมา 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2030
ถ้าการคาดการณ์ของ โทนี่ เซบา ถูกต้อง เศรษฐกิจของ Alberta ต้องได้รับผลกระทบรุนแรง การลงทุนต่างๆที่ทำไปแล้ว และโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เงินไปหลายแสนล้านดอลลาร์จะกลายเป็นเงินลงทุนที่ไม่คุ้มค่า เมือง Calgary และ Edmonton อาจกลายเป็นเมืองร้าง
โครงการท่อส่งน้ำมันที่ โดนัลด์ ทรัมป์ อนุมัติให้ทำ อาจกลายเป็นความสิ้นเปลืองสูญเปล่าของอเมริกา
ผลการศึกษาของ โทนี่ เซบา ได้ถูกนำไปแสดงให้กับนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ชั้นนำของโลกจำนวนมาก ทุกคนมีความคิดเห็นคล้อยตามกับเนื้อหาโดยทั่วไปที่พบในการศึกษาครั้งนี้ แต่ส่วนใหญ่ไม่คิดว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเหมือนอย่างที่ โทนี่ เซบา คาดการณ์เอาไป แต่คิดว่ามันอาจจะเกิดขึ้นใน 20 – 30 ปี หรือนานกว่านั้น
ผลการศึกษาของ โทนี่ เซบา ครั้งนี้ น่าจะมีการนำไปวิเคราะห์เพิ่มเติม และต่อยอดเพื่อเตรียมหาแนวทางรับมือสำหรับอนาคตอย่างจริงจังก่อนที่จะช้าเกินการ
ผลการวิจัยของ โทนี่ เซบา ที่กล่าวถึงข้างต้น เน้นอยู่ในทวีปอเมริกาเป็นหลัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกาก็จะส่งผลกระทบต่อทวีปอื่นหรือประเทศอื่นๆทั่วโลกด้วย
ผู้บริหาร นักการเมือง รัฐบาล คนทำงาน สหภาพ และนักลงทุน ใครที่เตรียมพร้อมมากกว่า เตรียมการไว้ดีล่วงหน้า ก็จะเป็นผู้ชนะสำหรับโลกอนาคตที่กำลังจะถาโถมเข้ามาพลิกโฉมอย่างรุนแรง…..