เมื่อประมาณสี่สิบปีก่อน เติ้ง เสี่ยวผิง ไปเยือน เซินเจิ้น ตอนที่ยังเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆที่มีแต่คนจน เขามองข้ามฝากไปประเทศจีนอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นฮ่องกงที่มีความเจริญมากเหลือเกิน แต่ตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ มันมีความแตกต่างของฐานะความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองเมืองที่อยู่ติดกันอย่างเด่นชัด และเริ่มตระหนักว่า วิธีการของคอมมิวนิสต์แบบเก่า มันไม่สามารถช่วยทำให้ความยากจนหมดสิ้นไป
ในที่สุดเลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นการสร้าง เซินเจิ้น ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีเสรีในการค้าขายมากขึ้น และในวันนี้ เซินเจิ้น ก็เปรียบเสมือน ซิลิคอน วัลเลย์ เมืองเทคโนโลยีไฮเทคของประเทศจีน มันเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
จีนก้าวจากประเทศที่เคยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่จนที่สุดในโลก หลังผ่านพ้นมาสี่สิบปี วันนี้จีนกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา
เติ้ง เสี่ยวผิง อดีตผู้นำจีนได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการปฏิรูป เป็นผู้เปิดประเทศจีนยุคใหม่ให้โลกรู้จัก ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1978
นโยบายของจีนเมื่อสี่สิบปีก่อน คือการเปลี่ยนแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่เคยขึ้นตรงอยู่กับส่วนกลางให้เป็นการขึ้นอยู่กลไกตลาด พอถึงปี 1979 ก็เริ่มอนุญาตให้คนจีนทำการค้าเป็นเจ้าของธุรกิจได้
นอกเหนือจากนั้น ผู้นำจีนได้เริ่มแผนการทูตใหม่ เป็นผู้นำจีนยุคใหม่คนแรกที่ได้ไปเยือนสหรัฐอเมริกา
การเปิดประเทศจีนมากขึ้น ประชาชนมีอิสระมากขึ้น นอกจากเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ความคิดเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของคนในชาติก็มีมากขึ้นด้วย
ปี 1989 เกิดการชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งนำไปสู่การนองเลือด นักศึกษาชาวจีนร่วมชุมนุมต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและเสรีภาพ มีผู้ร่วมประท้วงหลักแสน การเจรจากับนักศึกษาไม่สำเร็จ และกลายเป็นการปราบปรามครั้งใหญ่ที่มีข่าวลือว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ 2,500 คน บาดเจ็บ 7,000 – 10,000 คน
หลังจากการปราบปรามผู้เรียกร้องประชาธิปไตยและเสรีภาพ รัฐบาลคอมมิวนิสต์ก็เริ่มมีความเข้มงวดเรื่องข้อมูลข่าวสารและมีการปิดกั้นความคิดคนจีนมากขึ้น
การเปิดประเทศของจีน มาพร้อมกับปัญหาคอรัปชั่นของข้าราชการและความแตกต่างทางชนชั้นที่มีให้เห็นมากขึ้น แต่เริ่มตั้งแต่ปี 2012 นับตั้งแต่ สี จิ้นผิง เข้ามารับตำแหน่งผู้นำสูงสุดของจีนก็มีการพลิกผันครั้งใหญ่อีกครั้ง
นโยบายปราบปรามคอรัปชั่นอย่างจริงจัง และความมุ่นมันในการลดคนจนในประเทศจีนได้ผลอย่างชัดเจน
เมื่อสี่สิบปีก่อน คนจีนเกือบทั้งประเทศถูกจัดว่าเป็นคนจนเท่ากันหมด ในปัจจุบันก็ยังมีคนจนอยู่ แต่สัดส่วนลดลงอย่างเด่นชัด
GDP จีนก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ถ้าจีนยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตไว้ได้ต่อเนื่อง มีแนวโน้มว่าก่อนปี 2030 ขนาดเศรษฐกิจของจีนจะใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกา
จีนมีระบอบการปกครองที่แตกต่างกับหลายประเทศที่เป็นประชาธิปไตย แต่จีนก็ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจมากมาย
ผู้นำที่ดี และคิดถึงผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในชาติในการกำหนดทิศทางของประเทศ มันส่งผลต่อความก้าวหน้าของคนทั้งประเทศได้จริง…
https://www.bloomberg.com/graphics/2016-us-vs-china-economy/