ลายนิ้วมือคนสามารถแยกความแตกต่างและตรวจสอบได้ว่าเป็นของใคร โทรศัพท์เรียกเข้าก็สามารถตรวจจับได้ว่าเป็นใคร เป็น Phone Printing ที่ระบุตัวตนของผู้เรียกเข้าได้
นอกจากหมายเลขเรียกเข้าที่แสดงให้เห็นแล้ว บริษัทสตาร์ทอัพ Pindrop มีระบบที่ตรวจสอบได้ด้วยว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์เป็นใคร มาจากอุปกรณ์ซึ่งเป็นโทรศัพท์อะไร พื้นที่ของผู้ใช้โทรศัพท์มาจากไหน
ระบบจะบันทึกสายเรียกเข้าครั้งแรกว่ามีรูปแบบเสียงอย่างไร สามารถแยกเสียงได้ 147 รูปแบบ แยกแยะความแตกต่างของเสียงได้มากถึง 1,380 อย่างจากโทรศัพท์ที่เรียกเข้ามาแต่ละครั้ง ทำให้มันสามารถจดจำสายเรียกเข้าและทำการบันทึกข้อมูลไว้ในระบบครบถ้วน
ในกรณีที่สายเรียกเข้าที่เคยโทรเข้ามา หากข้อมูล Phone Printing ไม่ตรงกัน มันก็จะตรวจสอบได้ทันที
สายเรียกเข้ามาแต่ละสาย จะถูกตรวจจับความหลอกลวงหรือความน่าเชื่อถือว่ามีมากน้อยเพียงใด ระบบจะให้คะแนนความเสี่ยงของสายว่ามีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน ภาพแสดงให้เห็นเป็นสีเขียวหมายถึงปลอดภัย แต่ในกรณีของสายที่คิดว่าไม่ปลอดภัยจะมีภาพออกมาเป็นสีแดงให้ระวังภัย
การทำงานของ Pindrop ใช้ AI ช่วยในการวิเคราะห์ คาดคะเน และตรวจจับความถูกต้อง ในปัจจุบันมันได้ทำการวิเคราะห์เสียงมากกว่า 650 ล้านสายเรียกเข้าต่อปี และน่าจะมากถึง 1,100 ล้านครั้งภายในสิ้นปี 2018
ยิ่งมีข้อมูลมากขึ้น ฐานข้อมูลที่ใหญ่ขึ้นจะยิ่งทำให้ระบบทำงานได้ถูกต้องแม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในอดีต การตรวจจับสายโทรศัพท์เรียกเข้าว่าเป็นของจริงหรือหลอกลวงเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ไม่มีตัวตนมาให้เห็นตรงหน้า ผู้โทรศัพท์เข้ามาแจ้งว่ามาจากไหนก็ไม่มีทางรู้ แต่ Pindrop สามารถตรวจจับสายเรียกเข้าได้เหมือนการตรวจลายนิ้วมือ
Call Center ขนาดใหญ่ของโลกให้ความสนใจติดตั้งระบบใหม่นี้ สายที่เคยโทรเข้ามาทุกสายจะถูกบันทึกเสียงเอาไว้หมด และทุกสายเรียกเข้าจะมีการตรวจสอบกับเสียงที่มีอยู่ในระบบด้วยว่าเป็นสายหลอกลวงหรือไม่
มีรายงานว่าระบบนี้สามารถตรวจจับการหลอกลวงได้ถูกต้องมากกว่า 99%
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเป็นผู้ลงทุนให้กับสตาร์ทอัพ Pindrop คือ Just Eat, Farfetch, Goldman Sachs, Alphabet (google), Citigroup, EDBI, และเวนเจอร์แคปปิตอลจากซิลิคอนวัลเลย์อีกหลายราย
มีรายงานข่าวว่า Pindrop เพิ่งมีการระดมทุนจากผู้สนใจได้เงินทุนไปมากกว่า 90 ล้านดอลลาร์ และเร็วๆนี้จะได้เห็นเป็นหนึ่งในบริษัทมหาชนที่มีการซื้อขายหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์โลกด้วย