แจ็กกี้ เจิง หรือ จาง เส่วโหย่ว เป็นนักร้องดังระดับเทพของฮ่องกง เทียบกับประเทศไทยก็คงไม่ต่างจากป๋าเบิร์ด อายุก็ใกล้เคียงกัน
แจ็กกี้ เจิง เป็นจีนกวางตุ้งและมีคนจีนที่พูดภาษาท้องถิ่นเดียวกันในจีนมากมาย ปี 2018 เขาไปเล่นคอนเสิร์ตใน 5 เมืองในประเทศจีน และทำให้ทางการจีนจับผู้ร้ายได้ 35 คน โดยทั้งหมดเป็นคนที่มาดูคอนเสิร์ตของเขา
คนเข้าดูคอนเสิร์ตหลายหมื่นคนต้องเดินผ่านประตูรักษาความปลอดภัยตรงบริเวณทางเข้า ข้อมูลใบหน้าของแต่ละคนที่ถูกจับภาพจากกล้องจะถูกนำไปเทียบกับฐานข้อมูลของบุคคลที่ทางการจีนต้องการตัว AI ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีหลังจากเดินผ่านประตูไปก็ค้นหาตัวผู้ต้องสงสัยได้
ในการแจ้งเตือนจาก AI มีข้อผิดพลาดของสัญญาณเตือน 65 ครั้ง ซึ่งก็ต้องขอโทษในความไม่สะดวกดังกล่าว แต่ปรากฏว่ามีผู้ร้าย 35 คนถูกจับได้ในคอนเสิร์ตของ แจ็กกี้ เจิง
หยู เป็นหนึ่งในผู้ร้ายหนีคดี เป็นอาชญากรทางเศรษฐกิจ ถูกจับหลังจากเข้าชมคอนเสิร์ตเพียงไม่กี่นาทีในเมืองหนานชางในมณฑลเจียงซี หยูโดนกล่าวหาว่าไม่ยอมจ่ายค่ามันฝรั่งที่ซื้อมาในปี 2015 มีมูลค่า 17,000 ดอลลาร์หรือประมาณ 5.6 แสนบาท โดยได้หลบหนีการจับกุมไปทำธุรกิจโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่งในเจียงซี
แจ็กกี้ เจิง มีนิคเนมว่าเป็น “God of Songs” หรือพระเจ้าแห่งเพลง แต่หลังจากงานนี้เขาได้นิคเนมใหม่ว่า “The Nemesis of Fugitives” หมายถึงผู้ที่ช่วยทำให้เกิดกรรมตามสนองแก่ผู้หนีคดี
แจ็กกี้ เจิง กลายเป็นคนที่ช่วยตำรวจจีนจับผู้ร้ายได้มากที่สุด!
ในสื่อโซเชียลจีน มีคนเอาเนื้อเพลงท่อนหนึ่งของ แจ็กกี้ เจิง ที่บอกว่า “เธอมาเพื่อฟังคอนเสิร์ตของฉัน” แล้วมาแปลงใหม่ให้ฟังขำๆว่า… “เขามาเพื่อฟังคอนเสิร์ตของฉัน…ฉันเลยให้กุญแจมือเขาคู่หนึ่ง!!!”
กล้องที่จับภาพผู้เข้าชมคอนเสิร์ตทำให้เห็นหน้าชัดเจนขึ้นและจับคนร้ายได้ง่ายขึ้น แต่ที่จริงแล้วประเทศจีนได้ชื่อว่ามีกล้องวงจรปิดติดตั้งมากที่สุดในโลก วันนี้มี CCTV ติดตั้งอยู่ทั่วประเทศมากถึง 170 ล้านตัว และภายในปี 2020 จีนมีแผนการจะติดตั้งกล้องเพิ่มขึ้นอีก 400 ล้านตัว
ในเมืองเจิ้งโจวมณฑลเหอหนาน ตำรวจเริ่มใส่แว่นกันแดดที่มีเทคโนโลยี AI ใช้ในการตรวจสอบใบหน้าของคนที่คิดว่าเป็นผู้ต้องสงสัย พอมองหน้าคนข้อมูลก็จะถูกส่งไปตรวจสอบกับระบบว่าเป็นคนที่ทางการต้องการตัวใช่หรือไม่ หรือมีประวัติอาชญากรอะไรบ้าง
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในจีนเริ่มจะเหมือนจินตนาการของหนังสือดังในปี 1949 ของ จอร์จ ออเวลล์ เรื่อง Nineteen Eighty-Four ที่บอกว่ามีรัฐบาลเผด็จการที่เป็น Big Brother เฝ้าดูทุกการกระทำของพลเมือง
มันตัดสินยากจริงๆว่าเป็นเรื่องถูกหรือผิด ถ้าจุดประสงค์เพื่อทำให้สังคมสงบสุขขึ้น มีคนชั่วน้อยลง มันก็เป็นเรื่องดีสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่หากผู้ที่มีอำนาจคิดถึงตัวเองเป็นหลักและนำมันไปใช้เป็นเครื่องมือในการกอบโกยผลประโยชน์ของตัวเอง หรือใช้เป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูฝ่ายตรงข้าม มันจะเกิดอะไรขึ้น
คนที่เล่นบทพระเจ้าตัดสินผิดถูกกับผู้คนได้ แล้วถ้าคนมีอำนาจทำผิดเสียเองจะถูกเปิดเผยไหม? แล้วใครจะเป็นคนลงโทษ?
.
.
.
.