วันที่ 13-02-2019 เวลา 02:13 น. มีรายงานจาก AirVisual ถึงเมืองที่มีคุณภาพอากาศเป็นพิษโดยมีการเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ปรากฏว่าประเทศไทยมี 2 จังหวัดที่ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก คือ
-5. Chiang Mai, Thailand……180
-6. Bangkok, Thailand……….174
พอถึงวันที่ 14-02-2019 เวลา 03:49 ลำดับความแย่ของอากาศของทั้งสองเมืองในประเทศไทยก็เปลี่ยนไปเป็น
-22. Chiang Mai, Thailand……110
-29. Bangkok, Thailand………..83
ผ่านไปเพียงวันเดียวทำไมมันเปลี่ยนแปลงได้? รถยนต์ในประเทศไทยจำนวนมากยังวิ่งกันมาก ชาวบ้านยังมีการเผาพืชผลอยู่ โรงไฟฟ้ายังปั่นไฟเหมือนเดิม โรงงานอุตสาหกรรมยังไม่ได้หยุดทำงาน
ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ปัญหาอากาศพิษยังวนเวียนไปมา ปัญหามากหรือน้อยในแต่ละวันขึ้นอยู่กับธรรมชาติของลม สภาพอากาศเปิดหรือปิดในแต่ละวัน
ความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่พวกเราในประเทศไทยสร้างขึ้นมายังมีเหมือนเดิม แต่ปัญหาในพื้นที่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับธรรมชาติ
ถ้าไม่มีการแก้ปัญหาอะไร ควันพิษมันก็ลอยหายไปเองได้ ลอยไปเป็นปัญหาที่อื่น หรือตกลงสู่พื้นดินหรือพื้นน้ำกลายเป็นภัยที่วนเวียนย้อนกลับไปมา
เหตุที่นำเรื่องมลพิษทางอากาศมานำเสนอติดต่อกันหลายครั้ง เพราะต้องการชี้ให้เห็นว่ามันถึงเวลาที่ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างจริงจัง คงรอให้มันเป็นไปตามเวรตามกรรมไม่ได้แล้ว จะรอให้อากาศเปิดแล้วพัดพามลพิษไปอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านของเราไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวและเอาเปรียบผู้อื่นอย่างมาก
มีแนวคิดที่ยอมรับกันทั่วโลกว่า ใครปล่อยมลพิษ ใครทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่ตัวเองเป็นผู้สร้าง ต้องจ่ายเงินเพื่อช่วยเยียวยาอากาศพิษที่ปล่อยออกมาทำร้ายชาวโลก
ตัวอย่างความเปลี่ยนแปลงของสภาพมลพิษในแต่ละวันในแต่ละพื้นที่ เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทย มันแสดงให้เห็นเหตุผลที่ควรชาร์จค่าเสียหายจากผู้สร้างมลพิษโดยตรงได้ชัดเจนมาก