โพนี หม่า นายใหญ่เทนเซ็นต์ซึ่งปกติเป็นคนเก็บตัว แต่เมื่อวันอังคารที่ 21-05-2019 ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างอเมริกาและจีนที่กำลังเข้มข้นในวันนี้ว่า….
“ประเทศจีนได้เดินเข้ามาสู่แถวหน้าของการพัฒนาแล้ว มีที่ว่างน้อยลงเรื่อยๆในการเอาสิ่งดีๆจากนอกประเทศแล้วอามาปรับปรุงใช้งาน….. Trade War กำลังจะกลายเป็น Tech War”
มีตัวอย่างความยากลำบากที่เกิดขึ้นกับ ZTE และ Huawei ให้เห็น บริษัทเทคโนโลยีจีนอื่นๆไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่าจะปลอดภัย ถ้าเกิดมีการขัดผลประโยชน์กันมากๆก็มีโอกาสได้รับผลกระทบเช่นกัน
เทคโนโลยีสำคัญที่จะพลิกโฉมโลก และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความเป็นประเทศเจ้าโลกเร็วขึ้น คือ 5G และ AI
5G ของ Huawei ก้าวไปไกลกว่าทุกบริษัท มีเทคโนโลยีนำหน้าคู่แข่งอยู่หลายปี และที่สำคัญมีต้นทุนการวางระบบที่ต่ำกว่าคู่แข่งทุกราย ประเทศไหนไม่เลือกใช้หัวเว่ยต้องยอมจ่ายแพงกว่า และคงมี 5G ใช้ช้ากว่า
ข้ออ้างของสหรัฐอเมริกาที่สั่งแบนหัวเว่ยเพราะหาว่าจะเข้าไปขโมยความลับต่างๆ เพิ่งมีผลการตรวจสอบการรั่วไหลของระบบ 5G ของหัวเว่ยในยุโรป และพบว่าไม่เป็นความจริง
เทคโนโลยี AI เป็นอีกสาขาที่มีการแข่งขันกันมากระหว่างอเมริกาและจีน
จีนเพิ่งได้เห็นศักยภาพที่เหลือเชื่อของ AI เมื่อมีการแข่งกันเกมโกะหรือหมากล้อมช่วงต้นปี 2017 ในกรุงปักกิ่ง AlphaGo ของ Google ที่ฝึกเล่นเกมโกะเพียงไม่กี่เดือนสามารถเอาชนะแชมป์โลกชาวจีนได้ วันนั้นมีคนของรัฐบาลจีน นักเทคโนโลยีจีน ร่วมเป็นสักขีพยานจำนวนมาก และได้กลายเป็นการโหมโรง AI ครั้งใหญ่ของประเทศจีน เรียกได้ว่ากลายเป็นวาระแห่งชาติไปเลย
ดร.ไคฟู ลี เจ้าพ่อ AI ของโลก ชาวจีนไต้หวัน เคยทำงานในอเมริกาและวันนี้เป็น VC อยู่ในประเทศจีน เคยเป็นผู้บริหารของ ไมโครซอฟท์ แอปเปิล และกูเกิล เขียนหนังสือเกี่ยวกับการแข่งขันด้านเทคโนโลยี AI ระหว่างอเมริกาและจีนไว้ในหนังสือเล่มใหม่ AI Super Power มีข้อสรุปที่เปรียบเทียบความก้าวหน้าระหว่างปัจจุบันกับอีก 5 ปีข้างหน้า หากคะแนนเต็มเท่ากับ 10 แบ่งเป็นของอเมริกาและจีนได้ตามนี้ คือ
Internet AI
Now
US = 5, CHINA = 5
5 Years Later
US = 4, CHINA = 6
Business AI
Now
US = 9, CHINA = 1
5 Years Later
US = 7, CHINA = 3
Perception AI
Now
US = 4, CHINA = 6
5 Years Later
US = 2, CHINA = 8
Automation AI
Now
US = 9, CHINA = 1
5 Years Later
US = 5, CHINA = 5
ส่วนสำคัญที่ทำให้ AI ก้าวหน้าเร็วเป็นพิเศษ คือ ข้อมูลที่มากกว่า ซึ่งจีนได้เปรียบเรื่องนี้มาก นอกจากมากกว่าแล้วคนจีนยังไม่ค่อยหวงข้อมูล ไม่ค่อยมีใครแคร์ความเป็นส่วนตัว มีการเปรียบเทียบว่าข้อมูลสำหรับ AI มีค่าเท่ากับน้ำมันที่ช่วยขับเคลื่อนให้รถวิ่งได้
Social Credit System ที่จัดทำโดยรัฐบาลจีนก็เปรียบเหมือนสมุดรายงานความประพฤตินักเรียน แต่คราวนี้จะทำกับประชาชนจีนทุกคนในประเทศ และใช้เทคโนโลยี AI เป็นหลัก ยิ่งมีการใช้มากขึ้น ก็จะยิ่งมีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นด้วย
สหรัฐอเมริกาและจีนมีรูปแบบการพัฒนาเทคโนโลยีแตกต่างกัน
อเมริกาจะเน้นเรื่องการวิจัยและคงเป็นผู้นำของโลกไปอีกนานอย่างไม่ต้องสงสัย มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆที่เป็นครั้งแรกในโลกออกมาอยู่เสมอ ทำงานอย่างมีหลักการ ค่อยเป็นค่อยไป สร้างรูปแบบของตัวเองขึ้นมาก แล้วให้ทั่วโลกเอาไปใช้ตาม
ส่วนจีนเก่งเรื่องเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้งานในโลกจริง ฐานประชากรในประเทศจีนที่ใหญ่มากทำให้โอกาสทางธุรกิจใหญ่มากตามไปด้วย ไม่ต้องพึ่งพาตลาดโลก แค่ในประเทศจีนก็ใหญ่มโหฬารแล้ว ทำงานโดยเน้นที่ผลลัพธ์ ทำงานเร็ว การแข่งขันสูงแบบเอาเป็นเอาตาย เรียกว่าเป็น Winner take all system ใครชนะเอาไปหมด
พูดแบบสรุปให้เข้าใจง่ายๆ คือ อเมริกาเป็นต้นตำหรับ แต่จีนเอาไปต่อยอดทำเงินได้มากกว่า
แต่ในยุค โดนัลด์ ทรัมป์ จีนคงยากลำบากขึ้นแล้ว สหรัฐอเมริกาไม่ยอมให้จีนมาเอาเทคโนโลยีต้นแบบไปใช้ง่ายๆเหมือนในอดีตแล้ว อเมริกาไม่ยอมยื่นดาบให้จีนเอากลับมาฟันตัวเอง
จีนก็คงคาดการณ์มาก่อนแล้วว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น นับเฉพาะ AI ในปัจจุบันการลงทุนวิจัยของจีนมีมากกว่าอเมริกาแล้ว
มันคงถึงเวลาที่จีนต้องเน้นเรื่องการวิจัย คิดค้นอะไรใหม่ๆที่เป็นต้นตำรับของตัวเองอย่างจริงจัง
Trade War ในวันนี้มันเริ่มกลายเป็น Tech War เหมือนอย่างที่นายใหญ่เทนเซ็นต์เปรียบเทียบให้เห็นแล้ว
Tencent CEO warns companies must keep innovating to survive amid US-China tensions