เมื่อช่วงปลายปี 2018 แจ็ค หม่า ให้ความเห็นว่า… สงครามการค้าเป็นเรื่องโง่ที่สุด และคาดหมายว่ามันจะกลายเป็นสงครามยืดเยื้อที่กินระยะเวลายาวนานถึง 20 ปี
ในตอนนั้นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับนายใหญ่อาลีบาบา ส่วนใหญ่คิดว่าเป็นลูกเล่นระยะสั้นของ ทรัมป์ ที่ใช้ต่อรองกับจีน
แต่พอเริ่มเปิดเกมสงครามเทค คนทั่วโลกเริ่มตื่นตัวและคิดว่ามันอาจกลายเป็นสงครามยืดเยื้อ ไม่รู้ว่าจะกินเวลานานแค่ไหน แต่อย่างน้อยที่สุดก็คงเป็นตลอดระยะเวลาที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ยังเป็นผู้นำของสหรัฐอเมริกา
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งหน้า จะมีขึ้นวันที่ 20 พฤศจิกายน 2020
ทรัมป์ คงใช้เรื่องของสงครามการค้าเป็นประเด็นใหญ่ในการหาเสียง การกีดกันสินค้าจีนทำให้เกิดการจ้างงานในอเมริกาเพิ่มขึ้น ทรัมป์กำลังทำให้คนในประเทศเห็นว่าเขาทำให้อเมริกันกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ไม่ยอมให้จีนแซงหน้าอเมริกาในช่วงชีวิตของเขา
เกมตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนนำเข้าอเมริกา ใช้ไปเต็มที่เกือบทุกรายการแล้ว ตามด้วยการเล่นงานบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จีนอย่าง ZTE, Huawei
มีคำสั่งตรงจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสั่งบริษัทอเมริกันไม่ให้ค้าขายกับ Huawei ทำให้ผู้ใช้สมาร์ตโฟนหัวเว่ยทั่วโลกเริ่มตกใจว่าจะใช้งานมือถือหัวเว่ยต่อไปได้หรือไม่
ในอเมริกาหัวเว่ยไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่หัวเว่ยเป็นอันดับสองของโลก เป็นรองแค่ซัมซุง และมีแนวโน้มว่าหัวเว่ยจะกลายเป็นสมาร์ตโฟนเบอร์หนึ่งของโลกภายในปี 2020
ในประเทศไทย ช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 หัวเว่ยเป็นผู้นำตลาด แซงหน้าซัมซุงไปได้แล้ว
แต่หลังจาก Huawei โดน Google, ARM แบน แผนการเป็นเบอร์หนึ่งของโลกของหัวเว่ยคงยากลำบากขึ้น และอาจไม่เป็นไปตามที่ใครๆคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ที่ผ่านมาจีนสวนกลับทุกดอกที่โดนอเมริกาเล่นงาน อเมริกาขึ้นภาษีสินค้าจีน จีนก็ขึ้นภาษีสินค้าอเมริกา เป็นจำนวนเท่าๆกัน
แต่จีนซื้อสินค้าจากอเมริกาน้อยกว่ามาก ตอนนี้จีนก็ขึ้นภาษีตอบโต้ไปเกือบหมด อาจไม่เหลืออะไรจะให้ขึ้นภาษีอีกแล้ว
การแบนหัวเว่ย เป็นเกมแรงที่อเมริกาเล่นงานจีน และมันส่งผลไม่ใช่เฉพาะกับประเทศจีน แต่กระทบทั้งธุรกิจและผู้คนทั่วโลก
ผู้ใช้สมาร์ตโฟนหัวเว่ยเริ่มกังวลว่าจะโดนแบนไม่ให้ใช้ Gmail, YouTube, Google Map แล้วจะมีอะไรตามมาอีกก็ไม่รู้
บริษัทเทคจีนอื่นๆที่ยังไม่โดนเล่นงาน ก็ไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าจะปลอดภัยจากการแบนของสหรัฐอเมริกา
นอกจากบริษัทในประเทศจีนแล้ว บริษัทในประเทศอื่นๆก็กลัวว่า หากมีปัญหากับสหรัฐอเมริกา อาจโดนเล่นงานเหมือนหัวเว่ย
ผู้บริหารของบริษัทใหญ่ๆทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา คงต้องเตรียมตัวหาแผนสองรองรับปัญหาไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
วันที่ 30-05-2019 สำนักข่าว People’s Daily ของรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน ให้ความเห็นว่า..
“อเมริกา อย่าประเมินความสามารถของจีนในการตอบโต้ต่ำเกินไป…. อย่าพูดว่าเราไม่ได้เตือนคุณ!”
ตามข่าวของ CNBC รายงานว่า People’s Daily เคยใช้ประโยคว่า “อย่างพูดว่าเราไม่ได้เตือนคุณ” มาแล้ว 2 ครั้ง คือ ปี 1962 ตอนสงครามเขตแดนกับอินเดีย และช่วงก่อนปี 1979 ตอนสงครามจีน-เวียดนาม
มาตรการตอบโต้ในสงครามการค้าที่นักวิเคราะห์หลายสำนักคิดว่าจีนกำลังจะใช้ตอบโต้อเมริกา คือ
-การหยุดส่งออกแร่หายากให้สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแร่ที่จำเป็นสำหรับสินค้าไฮเทคและอาวุธที่ต้องการความเที่ยงตรงแม่นยำ และแหล่งผลิตใหญ่มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของโลกอยู่ในประเทศจีน
-การกีดกันการค้าบริษัทอเมริกันที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศจีน มีการคาดหมายว่าแอปเปิลจะเป็นเป้าหมายสำคัญที่โดนจีนเล่นงานหนักที่สุด
-จีนจะหยุดซื้อหรือขายพันธบัตรสหรัฐอเมริกา มาตรการนี้มีการเปรียบเทียบว่ามันเป็นสงครามนิวเคลียร์ที่สามารถสร้างความโกลาหลทางเศรษฐกิจของอเมริกาและของโลก จีนเป็นประเทศที่ถือพันธบัตรอเมริกามากที่สุดในโลก มันอาจสร้างความปั่นป่วนเรื่องค่าเงินดอลลาร์ของอเมริกา
ผู้นำทางด้านเศรษฐกิจและเศรษฐีใหญ่ของโลกหลายคนแสดงความกังวลกับสงครามการค้าที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
วอร์เรน บัฟเฟตต์ บอกว่า “มันเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับคนทั้งโลก”
บิล เกตส์ บอกว่า “มันเป็นเรื่องน่ากลัว…คนจนจะเดือดร้อนหนัก”
เจมี ดีมอน นายใหญ่เจพีมอร์แกนบอกว่า… “มันกลายเป็นประเด็นสำคัญที่อาจยับยั้งการลงทุน”
ผู้นำสิงคโปร์ ลี เซียนลุง เคยออกมาเตือนเรื่องสงครามการค้าระหว่างอเมริกาและจีนตั้งแต่ปี 2018 ว่า…
“อาจมีสถานการณ์ที่ทำให้อาเซียนต้องเลือกข้างว่าจะอยู่ฝ่ายไหน….. ถ้าคุณเป็นเพื่อนกับสองประเทศซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน บางครั้งมันก็พอจะเข้ากับทั้งสองฝ่ายได้ แต่บางครั้งมันยิ่งดูน่ากระอักกระอ่วนมากกว่าเมื่อคุณพยายามเข้ากับทั้งสองฝ่าย”
ตามประวัติศาสตร์ไทย เราเคยเล่นบทนกสองหัวแล้วได้อยู่ฝ่ายผู้ชนะเสมอ ไม่แน่ใจว่าคราวนี้ไทยจะมีวิธีเลือกฝ่ายได้ถูกต้องเหมือนในอดีตหรือไม่?!?
Jack Ma Expects the US-China Trade War to Last 20 Years, But Is He Right?