เย็นวันอังคารที่ 16-07-2019 มีงานแถลงข่าวใหญ่ใช้เวลานานประมาณสองชั่วโมง ชี้แจงความคืบหน้าโครงการเชื่อมสมองคนเข้ากับคอมพิวเตอร์ของ Neuralink ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่ร่วมก่อตั้งโดย อีลอน มัสก์ ในปี 2017 เขาร่วมลงทุนไปถึง 100 ล้านดอลลาร์
Keyboard Interface, Mouse Interface หรือการเชื่อมต่อสั่งงานคอมพิวเตอร์ผ่านแป้นพิมพ์หรือเม้าส์ เป็นเรื่องเก่าที่ทุกคนคุ้นเคยกันอยู่แล้ว และหลายปีที่ผ่านมานี้ มี Voice Interface ที่ทำให้สามารถสั่งงานคอมฯด้วยเสียง
แต่สิ่งที่ Neuralink กำลังทำ คือ การใช้สมองเป็นตัวเชื่อมต่อสั่งงานและส่งผ่านข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ เรียกว่า Brain-Machine Interface หรือ Brain-Computer Interface
ทำได้โดยการฝังชิปเล็กๆไว้บนหัวซึ่งมีสายบางๆนับพันเส้นขนาดหนึ่งในสิบของเส้นผม เชื่อมต่อกับระบประสาทภายในกะโหลก เหมือนการปลูกถ่ายบลูทูธเข้าไปในสมองมนุษย์
อุปกรณ์ติดตั้งโดยหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่เป็นหมอผ่าตัดด้วยการเจาะรูขนาด 2 มิลิเมตรเข้าไปในกะโหลก ตัวชิปจะเสียบเอาไว้ที่กะโหลกคนไข้ การเชื่อมต่อระหว่างชิปกับคอมฯหรือสมาร์ตโฟน เป็นระบบไร้สาย จะไม่เห็นสายอะไรห้อยออกมาจากหัว
อีลอน มัสก์ เปิดเผยว่าการทดลองทำจริง น่าจะเริ่มต้นได้ก่อนสิ้นปี 2020 ถ้าเทียบแล้วอาจไม่ต่างจากการผ่าตัดตาทำเลสิก แต่ขบวนการขออนุญาตคงยุ่งยากและอาจใช้เวลานาน
โครงการนี้มีข่าวเผยแพร่ออกมานานแล้ว แต่คราวนี้มีรายละเอียดเปิดเผยออกมามากที่สุด เหตุผลหลักของการแถลงข่าวเพราะต้องการหาคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมโครงการนี้มากขึ้น
ประโยชน์ของการเชื่อมต่อสมองคนเข้ากับคอมพิวเตอร์ พอจะแยกได้เป็น 2 ส่วน คือ ใช้ช่วยเหลือคนที่มีปัญหาเจ็บป่วย ใช้อัพเกรดประสิทธิภาพการทำงานของสมองมนุษย์
คนที่เจ็บป่วยซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสมองจะมีโอกาสรักษาให้หายป่วยหรือบรรเทาได้
อินเตอร์เฟซที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์อาจช่วยแก้ปัญหาทางสมองทั้งที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือโรคภัยต่างๆ เช่น สมองเสื่อม คอหัก ปัญหากระดูกสันหลัง อัมพาต ข้อบกพร่องทางร่างกายที่มีมาแต่กำเนิด ตาบอด ฯลฯ
คนไข้ที่มีปัญหาจาก โรคหัวใจ โรคมะเร็ง หรืออื่นๆ สามารถใช้อุปกรณ์ช่วยฟื้นความจำได้
ชิปที่ติดตั้งอยู่บนหัวสามารถเชื่อมต่อกับคอมฯ ทำให้ผู้ป่วยสั่งงานคอมพิวเตอร์ได้ รับข้อมูลเข้ามาในหัวผ่านชิปได้
มีการอธิบายว่าสามารถใช้สมองช่วยพิมพ์ประโยคสั้นๆที่เป็นวลีได้ถึง 40 วลีต่อนาที
คนตาบอดที่ติดตั้งชิปบนหัว คอมพิวเตอร์สามารถส่งผ่านข้อมูลเข้าไปในสมองทำให้คนตาบอดเห็นภาพต่างๆได้
และสำหรับคนปกติที่ต้องการเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษก็สามารถติดตั้งชิปบนหัวของตัวเอง เอา AI เชื่อมต่อเข้ากับการทำงานของสมอง มีทั้งข้อมูลเข้าและออกที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว สามารถอัพเกรดคนให้เก่งเหมือน AI
มันอาจเป็นหนทางที่ทำให้คนไล่ตามสมองกลทัน และไม่ถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างหลัง
คงไม่มีการบังคับให้ทุกคนต้องทำ เทียบแล้วอาจคล้ายกับการผ่าตัดเสริมความงามของคนในยุคนี้ที่เห็นกันอยู่ทั่วไป ต่อไปการผ่าตัดเสริมปัญญาอาจกลายเป็นเรื่องปกติเช่นกัน……
.