นับถึงปัจจุบัน โลกรู้จัก COVID-19 มาประมาณ 4 เดือน รายงานล่าสุดจาก worldometer วันที่ 16-04-2020 เวลา 17:20 GMT คือ
-ผู้ติดเชื้อ 2,129,427 คน
-ตาย 142,712 ราย
-หายป่วย 539,000 คน
ยังไม่มียารักษาที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ ยังไม่มีวัคซีนที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันการติดเชื้อได้
ผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 จำนวนมากเป็นคนที่ไม่มีอาการอะไรหรือมีเพียงเล็กน้อย สามารถหายป่วยเองได้ แต่มีบางส่วนที่มีอาการรุนแรงและต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล บางส่วนหายป่วย บางส่วนตาย
วิธีต่อสู้กับ COVID-19 โดยไม่ต้องใช้ยา คือ “Social Distancing” หรือ “ระยะห่างทางสังคม”
คำว่า Social Distancing และ Physical Distancing มีการใช้ทดแทนกันจนมีความเข้าใจว่าเป็นความหมายเดียวกัน
Physical Distancing แปลเป็นภาษาไทยแบบตรงตัวได้ว่า “ระยะห่างทางกายภาพ” ถ้าว่ากันตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขในหลายๆประเทศ คือ ประมาณ 6 ฟุต หรือ 2 เมตร หมายถึงการอยู่ห่างจากคนอื่นๆ 2 เมตร
ในปัจจุบัน มีการเรียก Social Distancing แทน Physical Distancing กันเป็นส่วนใหญ่
ความจริงแล้ว Social Distancing มีความหมายครอบคลุมมากกว่า การรักษาระยะห่างทางสังคม เป็นหนทางที่จะลดการแพร่ระบาดของ COVID-19 สิ่งที่ทำได้ เช่น
-หลีกเลี่ยงการอยู่รวมกันมากๆของผู้คน
-ยกเลิกงานที่มีผู้คนไปอยู่รวมกันมากๆ
-ปิดสถานที่ทำงาน หรือลดจะนวนคนทำงานที่สำนักงาน และทำงานที่บ้านเป็นหลัก
-ปิดโรงเรียน และสถานศึกษาต่างๆ
-กิจกรรมอะไรที่ไม่สำคัญ ยกเลิกไปก่อน
-จำกัดจำนวนเวลาที่ใช้ในที่สาธารณะ ออกข้างนอกเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
แต่ถ้าทั่วโลกยังล็อคดาวน์ปิดเมืองปิดประเทศ หรือรักษาระยะห่างทางสังคมอย่างนี้ต่อไปนานๆ เศรษฐกิจต้องมีปัญหา
หลีกหนีไวรัสได้ แต่หลีกหนีความอดอยากที่จะเกิดขึ้นตามมาไม่ได้
ทุกอย่างที่เป็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ Social Distancing
รถเมล์คันหนึ่งมีพื้นที่ประมาณ 30 ตารางเมตร โดยปกติสามารถจุผู้โดยสารได้ 50 คน แต่ถ้าจะให้แต่ละคนมีระยะห่างระหว่างกันไม่ต่ำกว่า 2 เมตร รถเมล์คันหนึ่ง คงจุผู้โดยสารได้ไม่เกิน 15 คน
ตู้รถไฟทั่วไปกว้างเพียง 2.3 เมตร แต่ละด้านของความกว้างจะอยู่ได้ด้านละหนึ่งคน ตู้หนึ่งจุเหลือไม่กี่คน
รถไฟฟ้าที่มีความยาวตลอดทั้งขบวน 86.6 เมตร กว้าง 3.12 เมตร เคยรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 1,490 คน หรือประมาณ 8 คนต่อตารางเมตร ถ้าจะรักษาระยะห่างให้เป็นไปตามที่กำหนด อาจต้องลดจำนวนคนเดินทางแต่ละเที่ยวประมาณ 5 เท่า
ระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ตอบโจทย์การรักษาระยะห่างทางสังคมที่จะช่วยลดการระบาดของไวรัส!!!
วันนี้ทั่วโลก กำลังหาทางออก สร้าง New Normal ที่จะทำให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อีก และอาจมีเรื่องปกติแบบใหม่เกิดขึ้นอีกมาก
ใส่หน้ากาก ไม่เอามือจับหน้าตัวเอง ล้างมือบ่อยๆ ไม่สัมผัสกับผู้คน รักษาระยะห่างระหว่างกัน เป็นเรื่องพื้นฐานที่ผู้คนอาจทำกันจนติดเป็นนิสัยในอนาคต
Harvard เพิ่งมีผลวิจัยล่าสุดที่รายงานว่า Social Distancing คงต้องอยู่กับชีวิตผู้คนทั่วโลกกันไปนานถึงปี 2022
มีการคาดการณ์ว่าต้องรอวัคซีน COVID-19 กันนาน 12-18 เดือน
หมายความว่า โรงเรียนอาจยังต้องปิดอยู่ รัฐบาลไม่ยอมให้คนมากๆมาอยู่รวมกัน ผู้คนยังต้องอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่
เรื่องปกติใหม่ๆ หรือ New Normal ที่ยังคงได้เห็นกันอีกนานเป็นปี เช่น
-การเรียนหนังสือแบบออนไลน์
-การทำงานจากบ้าน ประชุมหรือติดต่อกันผ่านแอป
-ผู้คนไม่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ หรือใช้น้อยลง
-สั่งอาหาร สั่งสินค้า แบบออนไลน์กันเป็นหลัก
-ไม่มีการพบปะกัน ไม่เลี้ยงวันเกิด ไม่มีงานแต่งงาน ไม่มีการประชุมใหญ่อะไร ไม่ไปพิธีกรรมทางศาสนา อาจมีการปรับเปลี่ยนเป็น Virtual Socialising หรือ การเข้างานสังคมแบบเสมือนจริง
เศรษฐกิจโลก คงรอให้ค้นพบยารักษาหรือวัคซีนไม่ไหว
ผู้นำทั่วโลกกำลังหาทางให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปให้ได้ และคงมี New Normal ออกมาให้เห็นตามมาอีกมาก….
.
.
.
.