
H&M แบรนด์ดังร้านขายเสื้อผ้าอันดับสองของโลกจากสวีเดน กำลังเป็นเป้าหมายหลักโดนบอยคอตต์ในประเทศจีน
บริษัทยักษ์เทคจีนร่วมแบน ทำให้ H&M หายไปจากโลกออนไลน์
ชาวเน็ตจีนกำลังจะเล่นงานแบรนด์ดังอื่นด้วย คือ Nike, Adidas, Burberry
เบื้องหลังของปัญหา มาจากสงครามการค้าระหว่างจีนและอเมริกา ก่อนหน้านี้ สหรัฐอเมริกา ประกาศแบนสินค้าที่มีการบังคับใช้แรงงานในมณฑลซินเจียง แบนสินค้าที่ใช้ ฝ้าย มะเขือเทศ จากแรงงานทาสชาวอุยกูร์
อังกฤษ แคนาดา และอียู ร่วมกับสหรัฐฯ แบนจีนด้วยเหตุผล การละเมิดสิทธิมนุษยชน
คนจีนมองว่า มันเป็นข้อกล่าวหาที่ตั้งใจทำลายล้างกัน และร่วมมือกันโต้กลับแบรนด์ดังต่างๆที่หากินอยู่ในประเทศจีน
H&M ประกาศว่าไม่ขอเกี่ยวข้องกับผู้ผลิตจีนที่บังคับใช้แรงงานทาส และแบรนด์อื่นๆอย่าง Nike, Adidas และ Burberry ก็ออกแถลงการณ์ในลักษณะเดียวกัน
บริษัทเทคจีนหลายแห่ง ได้ลบชื่อ H&M ออกจากโลกออนไลน์ในจีน
เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 26-03-2021 คำว่า H&M หรือ HM จะค้นหาไม่พบใน แผนที่ อีคอมเมิร์ซ แอปเรียกรถ แอปส่งอาหาร จะไม่มีผลแสดงให้เห็นในแพลตฟอร์มดังหลักๆที่ใช้ในประเทศจีน
คำสั่งซื้ออาหารที่เรียกให้ไปส่งร้านค้าของ H&M ถูกปฏิเสธโดย Meituan ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการส่งอาหารในประเทศจีน
การเรียกรถผ่านแอปของ Didi Chuxing เพื่อที่หมายปลายทางไปร้าน H&M ไปไม่ได้ เพราะหาชื่อและที่อยู่ไม่เจอ
แผนที่ออนไลน์ที่ใช้กันมากที่สุดในประเทศจีน เช่น Baidu, Tencent, AutoNavi หาจุดหมายของ H&M ไม่พบ
H&M ถูกบล็อกไม่ให้มีการซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชั้นนำของจีนอย่าง Tuobao ของ Alibaba, JD.com ของ Tencent, และ Pinduoduo
มีการขู่จากชาวเน็ตจีนผู้โกรธแค้นว่า วันนี้ร้านค้าในโลกออนไลน์หายไปแล้ว กำลังรออยู่ว่าร้านค้าจริงจะหายไปเมื่อไร?
วันนี้ H&M เป็นเป้าหมายหลักที่โดนโต้กลับโดยชาวจีน ต่อไปแบรนด์อื่นๆจะเป็นเป้าหมายต่อไป
แม้แต่ในโลกของเกมออนไลน์ที่แบรนด์ดังใช้เป็นสื่อในการโปรโมทสินค้าของตัวเองก็โดนเล่นงานด้วย เมื่อวันพฤหัสที่ 25-03-2021 เทนเซ็นต์ราชาเกมของโลก ได้ถอดชุดเสื้อผ้า “Skins” ของ Burberry ซึ่งมีตัวละครในเกม Honor of Kings ใส่เป็นประจำออกไป
ในตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดว่า Nike และ Adidas โดนเล่นงานอะไรบ้าง
สินค้าจีนต้องไปหากินในยุโรปและอเมริกา ในขณะเดียวกันสินค้ายุโรปและอเมริกาก็ต้องไปหากินในจีน
สงครามการค้ายังคงต้องมีต่อไปอีกนาน คงหาผู้ชนะที่แท้จริงยาก แต่มันทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลงและอาจเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง
ฝรั่งไม่ได้ใช้ราคาถูก คนจีนไม่ได้หน้าจากการใช้แบรนด์ดัง!!!