เงิน QE ถูกปั๊มออกมาใช้อย่างบ้าคลั่ง อเมริกาอัดเงินเพิ่ม 84% ใน 13 เดือน ไม่มีทุนสำรอง พิมพ์แบงค์ได้ไม่จำกัด

QE ย่อมาจาก Quantitative Easing หมายถึง มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ซึ่งทำโดยธนาคารกลางประเทศใหญ่ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป และอังกฤษ

QE เป็นมาตรการพิเศษในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่ได้นำออกมาใช้ในยามปกติ จุดประสงค์หลักเพื่อบังคับให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดลดต่ำลง ช่วยกระตุ้นให้มีการลงทุนมากขึ้น ทำให้ผู้คนหรือองค์กรไม่อยากถือเงินไว้เฉยๆเพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำ ในบางประเทศอาจถึงขั้นอัตราดอกเบี้ยติดลบ ไปฝากเงินแล้วต้องเสียค่าฝากเงินด้วย

ในยามที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดต่ำอยู่แล้ว และเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ธนาคารกลางใหญ่ๆของโลกอาจเลือกใช้มาตรการ QE ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ

ธนาคารกลางของประเทศใหญ่ๆพิมพ์เงินเพิ่มแล้วอัดฉีดเข้าไปในตลาดของประเทศตัวเอง

ธนาคารกลางเอาเงินที่พิมพ์เพิ่มเข้าไปซื้อ พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้เอกชน หรือสินทรัพย์ต่างๆที่อยากเข้าไปช่วยเป็นพิเศษ

ปี 2020-2021 เกือบทุกประเทศเจอวิกฤติโควิด-19 เศรษฐกิจหยุดชะงักทั่วโลก ทำให้มีการอัดเงินใหม่เข้ามาในตลาดของประเทศใหญ่ๆจำนวนมาก เงินใหม่เหล่านี้ส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและลบในประเทศที่ออก QE และประเทศต่างๆทั่วโลก

ตั้งแต่ต้นปี 2020 ธนาคารกลางของประเทศใหญ่ๆ คือ Federal Reserve (สหรัฐฯ), Bank of Japan, European Central Bank, Bank of England มีเงินอยู่ในระบบ 15.4 ล้านล้านดอลลาร์ แต่สิ้นปี 2020 มีเงินเพิ่มขึ้นเป็น 23.2 ล้านล้านดอลลาร์ หมายถึงตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 7.8 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 50.65%

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ใช้มาตรการ QE รุนแรงมากที่สุด รายงานถึงวันที่ 31 มีนาคม 2021 มีเงินอยู่ในระบบ 7.69 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อนับย้อนหลังไป 13 เดือนพบว่า FED ของสหรัฐฯพิมพ์เงินเพิ่มอัดฉีดเข้าไปในตลาดมากถึง 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 83.53% ในช่วง 13 เดือน

เงินที่อัดฉีดเข้าไปในตลาดตามมาตรการ QE ของสหรัฐฯ มีการนำไปซื้อตราสารหนี้บริษัทเอกชนเกรดแย่ๆด้วย และเงินบางส่วนได้กระจายไปลงทุนในประเทศต่างๆทั่วโลก

ตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปี 2020 ถึงต้นปี 2021 มีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาหลายหมื่นล้านบาท และน่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ดีดตัวสูงขึ้น

เงินที่อัดฉีดเข้ามาในตลาดมากๆในยามวิกฤติดูเหมือนเป็นเรื่องจำเป็น แต่มันอาจมีผลข้างเคียงหลายอย่างตามมา ที่กลัวกันมาก คือ ภาวะเงินเฟื้อที่ทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น เงินมีค่าน้อยลง มีภาพลวงตาที่ไม่สะท้อนความเป็นจริงหลายด้าน

ที่เห็นชัดที่สุดตอนนี้ คือ ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงในช่วงที่สหรัฐฯใช้มาตรการ QE รุนแรง มันกระทบต่อฐานะการเงินของประเทศต่างๆทั่วโลกด้วย อย่างกรณีของประเทศไทยที่มีทุนสำรองเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาจำนวนมาก เมื่อเทียบกับเงินบาทไทย หมายถึงเงินบาทไทยที่มีมูลค่าลดลง

มีนักวิเคราะห์หลายคนให้ความเห็นว่า ทอง หุ้น คริปโต ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากในช่วงนี้ เป็นผลมาจากเงินล้นตลาดที่เกิดจาก QE

อย่างกรณีของคนดังหรือองค์กรใหญ่ๆหลายแห่งที่เริ่มเปิดรับหรือลงทุนกับบิทคอยน์มากขึ้น เพราะมองว่าบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่น่าเชื่อถือ แม้ว่ามันจะมีความผันผวนของมูลค่าค่อนข้างมาก แต่ไม่มีใครสามารถ ควบคุม กำหนด หรือบังคับให้มันเป็นไปในทิศทางไหนได้ตามใจชอบ

จำนวนเงินที่พิมพ์ออกมามากหรือน้อยของรัฐบาลกลางแต่ละประเทศ มีจุดประสงค์หลักเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศตัวเอง มันสามารถกำหนดทิศทางมูลค่าเงินของประเทศตัวเองให้อ่อนหรือแข็งได้

“เด็ดดอกไม้ ยังสะเทือนถึงดวงดาว” แต่วันนี้ธนาคารกลางของประเทศใหญ่ใช้มาตรการ QE อย่างรุนแรง เงินมันไหลไปตลาดประเทศต่างๆซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย

ตอนมันไหลเข้ามามันดูดี แต่ในวันที่ธนาคารกลางของประเทศใหญ่ๆดึงเงินออกจากระบบ มันจะกลายเป็นเกมการเงินที่สะเทือนต่อระบบเศรษฐกิจของทั้งโลก!!!

https://wolfstreet.com/2021/04/02/qe-during-the-everything-mania-feds-assets-at-7-7-trillion-up-3-5-trillion-in-13-months/?fbclid=IwAR3kvhuJuDEOOzpazBwd0Yw0pQ2m67dAoKtVt3qh5TCeojim-L26Rckmagg

Leave a Reply