
วันที่ 10-02-2022 George Washington University เผยแพร่ผลการวิจัยในวารสาร Environmental Health มีข้อสรุปที่น่าตกใจว่า…
ยาฆ่าแมลง ยากำจัดวัชพืช ที่มีส่วนผสมของสารเคมี 2,4-D มีแนวโน้มที่จะมีการใช้เพิ่มขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพในประชากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม เด็ก และ สตรีในวัยเจริญพันธุ์
การได้รับสารเคมีอันตรายนี้เข้าในร่างกายปริมาณมาก มีความเชื่อมโยงกับโรคมะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ มันเป็นสารเคมีที่เป็นตัวทำลายต่อมไร้ท่อซึ่งสามารถรบกวนการผลิตฮอร์โมนตามธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์
สารเคมีพิษเข้าทางร่างกายผ่านทางพืชผลที่คนกิน และในเด็กที่เล่นบนพื้นหญ้าด้วยเท้าเปล่าที่มียาฆ่าวัชพืช มือเด็กอาจสัมผัสกับหญ้าและมีการเอามือเข้าปาก
จากกลุ่มตัวอย่าง 14,395 คน มี 4,681 คน หรือ 32.5% ที่ตรวจพบสารเคมี 2,4-D ในปัสสาวะ
การศึกษานี้ทำกันอย่างต่อเนื่องหลายปี ในปี 2001-2002 ในร่างกายของคนที่มีสารเคมี 2,4-D = 17% ได้เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 40% ในช่วงสิบปีต่อมา
ผลสรุปสำคัญที่พบจากการศึกษาครั้งนี้ คือ
-การใช้ยาฆ่าแมลงและยากำจัดวัชพืชที่เพิ่มขึ้นจากอดีตถึงปัจจุบัน ทำให้มนุษย์ได้รับอันตรายจากสารเคมีเพิ่มขึ้น
-เด็กอายุ 6-11 ปี มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าที่จะได้รับสารเคมี 2,4-D
-ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า เมื่อเทียบกับผู้ชายในกลุ่มอายุเดียวกัน
-ความเสี่ยงต่อมนุษย์ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ เพราะมีการใช้ยาฆ่าแมลงและยากำจัดวัชพืชเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2,4-D เริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1940 มันเป็นวัตถุอันตรายทางการเกษตร เป็นสารเคมีกำจัดวัชพืชกลุ่มคลอโรฟีน็อกซี มีใช้ใน ไร่นา สวนผลไม้ ทุ่งหญ้า สวนสาธารณะ ขอบสระ ริมคลองชลประทาน ฯลฯ
เวลาคนสัมผัสโดน 2,4-D จะรู้สึกระคายเคือง ถ้าเข้าปากจะเจ็บในปาก ปวดแสบปวดร้อนในลำคอและหลอดอาหาร ทำให้เกิดแผลผุพองได้ สามารถทำลายกล้ามเนื้อเส้นประสาท
ผลการวิจัยนี้เป็นกลุ่มตัวอย่างจากประชากรในอเมริกา ถ้าเป็นของประเทศไทยอาจได้ผลการวิจัยที่น่ากลัวกว่านี้
สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการหลีกเลี่ยงสารเคมีอันตราย สามารถหันไปบริโภคผักหรือผลไม้ปลอดสารพิษที่ปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ
แต่การลดอันตรายจากสารพิษ หมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอีกมาก!!!