ในแต่ละปีมีคนตายจากอุบัติเหตุบนถนนทั่วโลกประมาณ 1,250,000 คน ในอเมริกาตายปีละ 37,000 คน ส่วนประเทศไทยตายปีละ 24,000 คน และไทยยังได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีคนตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนอันดับหนึ่งของโลกเมื่อเทียบกับอัตราส่วนของประชากรที่มีอยู่ในประเทศ
ผลการสำรวจหาสาเหตุการตายจากอุบัติเหตุบนถนนของอเมริกา พบว่า 94% เกิดจากความผิดของผู้ขับขี่ เช่น ข้อผิดพลาดในการรับรู้ ประมาทในขณะขับรถ ตัดสินใจผิด ขัดรถเร็วเกินกำหนด ขับรถผิดกฎจราจร มองไม่เห็นรถหรือคนเดินถนน ฯลฯ
ถ้าไม่มีการขับรถเลย การตายจากอุบัติเหตุทั้งหมดก็จะหายไป แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะผู้คนยังต้องเดินทางด้วยรถ
หากนำรถไร้คนขับมาใช้ในอเมริกาทั่วประเทศ มีการประเมินว่าสถิติการตายบนถนนจะลดลง 1,000 เท่า จากที่ตายปีละ 37,000 คน จะเหลือ 37 คน
รถไร้คนขับทุกคันถูกโปรแกรมให้เป็นผู้ขับขี่ที่เคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
สมองกลซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์สามารถทำงานมีประสิทธิภาพเหนือกว่าคน เครื่องจักรทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีประสบการณ์การขับรถมากกว่าคน
รถไร้คนขับแต่ละคันมีประสบการณ์ร่วมกับรถไร้คนขับที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน ประสบการณ์ร่วมมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในรถไร้คนขับเป็นแสนเป็นล้านคันที่เอามาแบ่งปันกันได้ สามารถนำสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกันมาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น แล้วเลือกตัดสินใจอย่างดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยกับคนในรถและเพื่อนร่วมทางบนท้องถนน
ขณะนี้มีบริษัทมากกว่า 50 แห่งทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงวิจัยและพัฒนารถไร้คนขับ ส่วนใหญ่เป็น บริษัทเทคโนโลยี สตาร์ทอัพ และโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ ตลาดนี้ยังไม่เกิดในปัจจุบัน แต่จะมีมูลค่ามหาศาลในอนาคต
ออโตโนมัสคาร์แบบเต็มรูปแบบในระดับ 5 ซึ่งไม่ต้องพึ่งพาคน อาจได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลของบางประเทศในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ผู้เชี่ยวชาญจาก Virginia Tech Transportation Institute ซึ่งมีส่วนร่วมในการทดสอบระบบรถใหม่ๆของอเมริกา ประเมินว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า จะมีระบบรถไร้คนขับที่ใช้การได้เกือบสมบูรณ์แบบ
ในปี 2035 บนท้องถนนอเมริกาจะมีการใช้รถไร้คนขับประมาณ 50% และเพิ่มเป็น 90% ภายในปี 2049 จะเร็วหรือช้าต้องขึ้นอยู่กับการออกใบอนุญาตจากภาครัฐ ซึ่งต้องทำให้เชื่อมั่นว่ามีความปลอดภัยอย่างแท้จริงเสียก่อน
รถส่วนตัวที่มีการใช้อยู่ทั่วไปในปัจจุบัน มีตัวเลขเฉลี่ยช่วงเวลาที่ใช้งานจริงเพียง 4% ที่เหลือเอาไปจอดทิ้งไว้เฉยๆ หากไม่มีรถส่วนตัวอาจทำให้เมืองใหญ่บางแห่งมีพื้นที่ว่างเพิ่มขึ้นอีก 20% เพราะไม่จำเป็นต้องมีที่จอดรถมากมายอีกแล้ว
คนรุ่นใหม่บางส่วนในปัจจุบัน เริ่มไม่สนใจมีรถส่วนตัว เพราะสามารถเรียกแท็กซี่แบบออนไลน์ได้สะดวก Uber, Lift, Grab ไปรับส่งได้ทุกที่ด้วยการสั่งงานผ่านสมาร์ตโพน และต่อไปในอนาคต รถบริการเหล่านี้จะเป็นรถไร้คนขับทั้งหมด มีค่าบริการลดลงอีกมาก
มีการประเมินเปรียบเทียบตัวเลขค่าใช้จ่ายระหว่างการมีรถส่วนตัวใช้เอง และการใช้บริการรถออโตโนมัสซึ่งเป็นยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด พบว่ามีค่าใช้จ่ายแตกต่างกัน 10 เท่าตัว
นั่นหมายความว่าการใช้รถอัตโนมัติไร้คนขับแบบเช่าใช้เมื่อจำเป็น มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า มีความสะดวกมากกว่า ไม่ต้องขับรถเอง มีรถมารับถึงหน้าบ้าน พาไปส่งถึงที่ทำงานหรือจุดหมายทุกแห่งได้ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางถูกลง ไม่ต้องเสียค่าที่จอดรถ รถรับจ้างแบบไร้คนขับทุกคันได้ใช้ประโยชน์คุ้มค่าตลอดทั้งวัน
ประชาชนจะมีเงินมากขึ้นเพราะไม่จำเป็นต้องเสียเงินก้อนใหญ่ไปกับการซื้อรถส่วนตัว สามารถเอาเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายในกิจกรรมอื่นมากขึ้น
บ้านเรือน สำนักงาน ถนนหนทาง จะมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น เอาพื้นที่ซึ่งเคยเป็นพื้นที่จอดรถไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ เอาไปทำพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นก็ได้
ในแง่วิถีชีวิตผู้คน มันทำให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์ดีขึ้น แต่ในแง่ธุรกิจ รถไร้คนขับจะเป็นตัวป่วนทำให้ธุรกิจหรือบริการเก่าหลายอย่างถูกพลิกโฉมหน้าครั้งใหญ่
รถยนต์ส่วนบุคคลจะขายได้น้อยลง หรือขายให้ประชาชนทั่วไปไม่ได้เลย คนที่ขับรถส่วนตัวอาจยังมีอยู่เพราะเป็นคนที่อยากขับรถ เหมือนคนที่ยังอยากขี่ม้าในปัจจุบัน
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์และรถไร้คนขับ อาจต้องปรับเปลี่ยนธุรกิจเป็นบริการรถแท็กซี่แบบอูเบอร์
การขนส่งพัสดุต่างๆที่เคยใช้คน จะเปลี่ยนเป็นการขนส่งโดยรถไร้คนขับ สะดวกรวดเร็วขึ้น และค่าขนส่งถูกลง
การวางผังเมืองในเมืองใหญ่ต่างๆจะปรับเปลี่ยนไป ไม่ต้องเผื่อพื้นที่ให้กับที่จอดรถจำนวนมาก พื้นที่ซึ่งเคยมีไว้เพื่อเป็นพื้นที่จอดรถอาจถูกปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่ทำงานหรือพักอาศัย
ระบบขนส่งมวลชนจะมีการเปลี่ยนแปลงไป สามารถทำระบบขนส่งมวลชนขนาดเล็กได้มากขึ้น อาจคล้ายกับการขนส่งแบบ Loop ของ The Boring Company ซึ่งมีสถานีเล็กๆอยู่ทั่วเมือง พาคนเดินทางได้ครั้งละ 8-16 คน
บริษัทประกันจะมีช่องทางหาเงินน้อยลง เพราะอุบัติเหตุน้อยลงมากๆ การประกันความเสียหายจากอุบัติเหตุรถยนต์อาจหมดความจำเป็น ผู้คนบาดเจ็บหรือตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนน้อยลง อาจไม่มีความจำเป็นต้องทำประกัน
แต่ก็มีเรื่องน่ากังวลสำหรับกิจกรรมบางอย่าง การตายบนท้องถนนทั่วโลกที่มีมากถึง 1.25 ล้านคนต่อปี เป็นเหตุผลสำคัญทำให้มีอวัยวะสดใหม่จำนวนมากสำหรับผู้รอการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะของคนเจ็บป่วย ต่อไปจะหาอวัยวะเหล่านี้ได้น้อยลง!!!
http://www.who.int/gho/road_safety/mortality/en/
https://www.bangkokpost.com/news/general/1376875/thailand-tops-road-death-ranking-list
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_traffic-related_death_rate
http://www.bbc.com/news/world-asia-38660283