เว็บไซท์ AirVisual ซึ่งรายงานคุณภาพอากาศทั่วโลก มีรายงานผลที่แสดงให้เห็นถึงคุณภาพอากาศและมลพิษของแต่ละเมืองทั่วโลก พบว่าเมื่อวันที่ 12-02-2019 เวลา 17:01 เมืองที่มีอากาศแย่ที่สุด 10 อันดับแรกของโลก คือ
- Delhi, India………………327
- Lahore, Pakistan..………281
- Ulaanbaatar, Mongolia…215
- Dhaka, Bangladesh.……193
- Mumbai, India.…………..184
- Chiang Mai, Thailand.….182
- Kathmandu, Nepal………176
- Kabul, Afgahanistan.……159
- Port Harcourt, Nigeria…..147
- Chongqing, China……..143
ถ้าดูตามข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ เมื่อวันที่ 13-02-2019 เวลา 00:00 น พื้นที่ซึ่งมีการตรวจสภาพอากาศแล้วพบว่าอยู่ในเขตสีแดงซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพ คือ
-ต.สุเทพ อ.เมือง, เชียงใหม่
-ต.นาจักร อ.เมือง, แพร่
-ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ, ลำปาง
-ต. หน้าพระลาน, อ.เฉลิมพระเกียรติ, สระบุรี
ส่วนพื้นที่ซึ่งมีการตรวจสภาพอากาศแล้วพบว่าอยู่ในเขตสีส้มซึ่งเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ คือ
-ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ, จ.ปราจีนบุรี
-ต.แม่ปะ อ.แม่สอด, จ.ตาก
-ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย, เชียงราย
-ต.เวียง อ.เมือง, พะเยา
-ต.เวียง อ.เมือง, เชียงราย
-ต.บ้านกลาง อ.เมือง, ลำพูน
-ต.ในเวียง อ.เมือง, น่าน
-ต.สบป้าด อ.แม่เมาะ, ลำปาง
-ต.พระบาท อ.เมือง, ลำปาง
-ต.ศรีภูมิ อ.เมือง, เชียงใหม่
-ต.ช้างเผือก อ.เมือง, เชียงใหม่
สรุปแล้ว เชียงใหม่ ของประเทศไทยติดอันดับ 6 อากาศยอดแย่ที่สุดในโลก ซึ่งสอดคล้องกับรายงานอากาศของกรมควบคุมมลพิษของไทย
เมื่อดูภาพรวมจากแผนที่แสดงคุณภาพอากาศทั่วโลก เห็นได้ชัดเจนว่าสภาพอากาศปิดในแต่ละฤดูมีผลต่อคุณภาพอากาศในแต่ละพื้นที่อย่างมาก
การต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมเป็นพิษเป็นงานที่ต้องร่วมมือกันทั่วโลกจึงมีโอกาสประสบความสำเร็จในวงกว้าง
เมืองไหนประเทศไหนปล่อยมลพิษออกมามากๆ แต่อากาศเปิด ลมพัดผ่านได้ดี มันก็ช่วยพาอากาศแย่ๆไปที่อื่น เอาปัญหาไปให้พื้นที่อื่น
ถ้าช่วงไหนอากาศปิดแล้วเห็นแดงๆส้มๆ นั่นแสดงว่าปัญหาอากาศพิษเกิดจากปัญหาของเมืองนั้นเอง อากาศพิษที่ปล่อยออกมาไม่มีทางระบาย ไม่มีลมช่วยระบายให้อากาศพิษไปที่อื่น
ทางที่ดีและถูกต้องที่สุด คือ แต่ละเมืองแต่ละประเทศ ควรรับผิดชอบต่อตัวเอง อย่าทำให้ประเทศตัวเองกลายเป็นปัญหาของโลก
https://www.airvisual.com/earth
https://www.airvisual.com/world-air-quality-ranking
http://air4thai.pcd.go.th/webV2/region.php?region=0