อเมซอน-เบิร์กไชร์แฮททาเวย์-เจพีมอร์แกน ร่วมกันสร้างอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพยุคใหม่ ใช้ข้อมูลวิจัยและเทคโนโลยีเพื่อ ประสิทธิภาพดีขึ้น พอใจมากขึ้น ราคาถูกลง

เมื่อวันที่ 30-01-2018 มีข่าวใหญ่ช็อคโลกในวงการอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ มีการประกาศความร่วมมือกันของ Amazon, Berkshire Hathaway, และ JPMorgan

บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 แห่ง มีแผนจะตั้งบริษัทใหม่ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรในการทำธุรกิจดูแลสุขภาพ หรือการรักษาพยาบาลผู้คน ตั้งเป้าหมายง่ายๆว่า เพื่อบริการที่ดีขึ้นในราคาที่ต่ำลง จะพัฒนาสร้างระบบใหม่ให้เป็นต้นแบบสำหรับประเทศอเมริกา หากประสบความสำเร็จจริง ทุกบริษัททุกประเทศทั่วโลกสามารถจำลองรูปแบบเอาไปใช้ได้

ข่าวนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ประจำปี 2018 ของอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ ตั้งแต่วันแรกที่มีข่าวออกมา หุ้นที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ยา โรงพยาบาล ประกัน ตกลงทันทีประมาณ 9% มูลค่าตลาดหายไป 30,000 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 1 ล้านล้านบาท

ที่จริงเคยมีคนพยายามโจมตีอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพมาก่อนแล้ว แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ แต่คราวนี้เป็นการรวมตัวของ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่โลกที่มีพนักงานรวมกันมากกว่า 1.2 ล้านคน คงทำให้พ่อค้าความเจ็บป่วยเจ้าเก่าที่มีอยู่เดิมมีรายได้หดหายไปมหาศาล และหากระบบใช้ได้ผลดีจริง จะมีหลายบริษัทหรือหลายประเทศเอาวิธีการใหม่นี้ไปใช้ มันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะ Disrupt หรือพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพโลก

ช่วงนี้เริ่มมีความคืบหน้าขององค์กรใหม่ ซึ่งเป็นการรวมตัวของ Amazon, Berkshire Hathaway, JPMorgan (ABJ) มีข่าวว่าได้ CEO สำหรับบริษัทใหม่แล้ว และเริ่มสร้างคลินิกต้นแบบแห่งแรกแล้ว

ผู้บริหารใหม่ที่เป็น CEO ของ ABJ คือ Dr. Atul Gawande เริ่มทำงานแล้วตั้งแต่วันที่ 9-07-2018

ส่วนคลินิกต้นแบบแห่งแรกอยู่ในซีแอตเติล กำลังสร้างขึ้นสำหรับพนักงานของอเมซอน แต่ยังไม่มีรายละเอียดว่า เบิร์กไชร์แฮททาเวย์ และเจพีมอร์แกน มีส่วนในคลินิกแห่งใหม่นี้อย่างไรบ้าง

ซีอีโอแต่ละคนของ Amazon, Berkshire Hathaway, JPMorgan ได้แสดงเหตุผลของการเริ่มโครงการนี้ในการสัมภาษณ์กับสื่อในหลายโอกาสได้น่าสนใจมาก

 

เจฟฟ์ เบซอส นายใหญ่อเมซอน ซึ่งได้ชื่อว่าดีสรัปชั่นตัวพ่อ ทำลายธุรกิจเก่าที่ต้นทุนสูงและบริการไม่ค่อยดีมาหลายวงการแล้ว เขาพูดถึงโครงการนี้ว่า…

“ระบบการดูแลรักษาสุขภาพเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน และเราต้องการเข้าไปในสิ่งที่ท้าทาย เพื่อเปิดตาดูว่ามันมีระดับความลำบากขนาดไหน…..มันอาจจะยากอย่างที่ควรจะเป็น แต่การลดข้อจำกัดต่างๆทางเศรษฐกิจเหล่านี้ช่วยทำให้คนทำงานและครอบครัวของเขาได้รับผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดีขึ้น มันคุ้มค่าสำหรับความพยายาม แต่ความสำเร็จต้องอาศัยความสามารถพิเศษจากผู้ชำนาญการ ผู้ที่มีใจในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ และมองภาพรวมในระยะยาว….”

“การดูแลสุขภาพเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการประเมินว่าสามารถทำให้ดีขึ้นด้วย Machine Learning และ Artificial Intelligence ผมคิดว่า Echo และ Alexa (ผู้ช่วยอัจฉริยะและลำโพงอัจฉริยะของอเมซอน) น่าจะมีบทบาทอย่างมากในโครงการนี้กับผู้คน”

 

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซีอีโอนักลงทุนคนดังของโลกจาก เบิร์กไชร์ แฮททาเวย์ มีมุมมองเป็นตัวเลขที่ทำให้เห็นปัญหาที่ชัดเจนขึ้น

“งบประมาณด้านการรักษาพยาบาลดูแลสุขภาพคนอเมริกันในปี 1960 เท่ากับ 5% ของ GDP หรือเท่ากับ 170 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี แต่ในวันนี้ปรับเป็นมากกว่า 10,000 ดอลลาร์ต่อปี และเป็นงบประมาณที่ใกล้เคียงกับ 18% ของ GDP…. เทียบกับประเทศอุตสาหกรรมอื่นของโลกที่เคยมีงบประมาณ 5% ของ GDP เหมือนอเมริกา แต่วันนี้ปรับขึ้นเป็น 11% ของ GDP และยังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าทุกประเทศจะมีงบประมาณในส่วนนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”

“อเมริกาใช้งบประมาณในการดูแลสุขภาพประชาชน 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีในปัจจุบัน เป็นระบบที่ซับซ้อนยุ่งยากมาก”

“เป้าหมายของเราไม่ได้ทำเพื่อ 3 บริษัทเท่านั้น แต่เป็นอะไรที่ใครๆก็สามารถเอาระบบไปใช้ได้เมื่อมันอยู่ตัวแล้ว มันดีต่อทั้งระบบ”

“ระบบที่เป็นอยู่มีปัญหา เพราะมีคนกลางจำนวนมาก มีการบวกมาร์จิ้นสูง”

“ในขั้นแรก มันง่ายมากที่จะต่อรองให้ต้นทุนต่ำลง 3-4% โดยใช้กำลังในการต่อรอง แต่เรามองอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น”

“ผมคิดว่าภาคเอกชนทำได้ดีกว่าภาครัฐ มันไม่ใช่งานง่าย ต้องใช้เวลาและคนที่มีความสามารถ ไม่ได้หวังการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก”

“บริษัทของพวกเราทั้ง 3 แห่งใหญ่มาก เราทำให้เกิดอะไรขึ้นได้ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงได้ เอกชนไม่มีปัญหาความล่าช้าเรื่องระบบ อุตสาหกรรมดูแลสุขภาพมันใหญ่มากๆ”

 

เจมี่ ไดมอน ซีอีโอ เจพีมอร์แกน สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลก มีการลงทุนไปทั่วทุกสาขาอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงวงการ ยา โรงพยาบาล ประกัน พอมีข่าวบริษัทใหม่ของเขาขึ้นมา หุ้นของหลายบริษัทที่ เจพีมอร์แกน มีส่วนได้เสียด้วยก็ได้รับความเสียหาย มูลค่าหุ้นตกไปมาก แต่ เจมี่ ไดมอน ยืนยันที่จะมองภาพในระยะยาวเพื่อระบบที่ดีขึ้น ไม่ได้คิดเพียงแค่ผลประโยชน์ระยะสั้น เขาให้สัมภาษณ์ถึงบริษัทใหม่ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วว่า..

“มีบางคนไม่แฮปปี้เพราะหุ้นตกในวันที่ประกาศตั้งบริษัทใหม่ของเรา ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นปฏิกิริยาโต้กลับที่มากเกินไปของนักลงทุน”

“เจพีมอร์แกนได้ซื้อประกันสุขภาพสำหรับพนักงานสี่แสนคนเรียบร้อยแล้ว และผมต้องการบริการที่ดีกว่า คนที่ทำงานได้ดีกว่า ทำอย่างไรถึงจะมีสุขภาพดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น มีความพอใจมากขึ้น”

“เราร่วมมือกับ เจฟฟ์ เบซอส ของ อเมซอน และ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ของ เบิร์กไชร์ แฮททาเวย์ เรากำลังมองหาคนที่มาบริหารบริษัทใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ระยะยาว เราไม่ได้แสวงหาผลกำไร เรามั่นใจว่าสามารถทำให้ระบบดูแลสุขภาพดีขึ้นได้”

“เราไม่ได้คาดหวังความก้าวหน้าที่จะเกิดขึ้นทันทีในอนาคตแค่ 1-2 ปี แต่ถ้าผลมันออกมาดี เราจะแบ่งปันให้กับทุกคน ไม่ได้จบลงที่บริษัทของเราเท่านั้น”

“ผมต้องขอโทษกับบริษัทที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ปัญหาที่เป็นอยู่ในวันนี้มันต้องได้รับการแก้ไข ไม่อยากให้มองเราเป็นศัตรู”

“ศัตรูของพวกเรา คือ ในปัจจุบันเราใช้จ่ายเกือบ 20% ของ GDP ในการดูแลสุขภาพ มันมากเกินไปและผลที่ได้ก็ไม่ค่อยดี”

“มันเป็นประเด็นที่น่าวิกฤติอย่างยิ่งสำหรับพวกเราทุกคน พวกเรามองในระยะยาว กำลังมองเรื่องการใช้เงินที่ผ่านมาซึ่งเป็นปัญหามาก เช่น การฉ้อโกง การตาย การใช้ยาอย่างไม่ถูกต้อง ปัญหาการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง การขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านดูแลสุขภาพ การสูบบุหรี่ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรงมะเร็ง โรคหัวใจ โรคซึมเศร้า โรคเบาหวาน ฯลฯ เราคิดว่าถ้ามีการทำงานด้วยกัน เราอาจทำให้เกิดความก้าวหน้าบางอย่างได้”

“เราอยากบอกให้รู้ว่าเราจะทำเรื่องนี้อย่างสุดฝีมือ และจะอดทนกับมันอย่างยิ่ง”

“ผมอยากให้ผู้คนได้ย้อนมองการเริ่มต้นธุรกิจ อเมซอน ของ เจฟฟ์ เบซอส จุดเริ่มต้นจากการขายหนังสือซึ่งได้กลายเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในเวลา 10 ปี”

“เราอาจใช้เวลามากที่จะปะติดปะต่อจากจุดเล็กๆให้ถูกต้อง ก่อนที่จะทดลองทำอะไรต่างๆอีกมากมาย เพื่อดูว่าการทำงานอย่างไรที่ได้ผลบ้าง”

 

เมื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติและประสบการณ์ของซีอีโอคนใหม่ของ ABJ ก็พอจะคาดหวังถึงความสำเร็จของโครงการนี้ได้จริงๆ

นายแพทย์อาทูล์ กาวานเดย์ เป็นคนดังของอเมริกาที่มีความเป็นเลิศในหลายสาขา คือ หมอศัลยากรรม นักเขียน นักวิจัยด้านสาธารณะสุข

คุณหมอกาวานเดย์เป็นหมอผ่าตัดทั่วไปและต่อมไร้ท่อที่ Brigham and Women’s Hospital เป็นอาจารย์ที่ Harvard เป็นนักเขียนหนังสือเบสต์เซลเลอร์ 4 เล่ม เป็นนักเขียนประจำของ The New Yorker มาตั้งแต่ปี 1998

งานเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพที่ได้รับมอบหมายครั้งนี้ ไม่ใช่งานที่เขาไม่เคยทำ นายแพทย์อาทูล์ กาวานเดย์ เคยเป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายสาธารณะสุขให้แก่ประธานาธิบดี บิล คลินตัน

เขาได้รับรางวัลในงานที่ทำแล้วประสบความสำเร็จมากมาย ซึ่งรวมถึง Genius Award หรือ รางวัลสำหรับอัจฉริยะของมูลนิธิ MacArthur มีเงินรางวัลสูงถึง 500,000 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยมากกว่า 16 ล้านบาท

เมื่อไปศึกษางานเก่าของคุณหมอกาวานเดย์ ก็ดูน่าทึ่งมาก และคงเอาประสบการณ์ที่มีอยู่มาพัฒนาธุรกิจไม่แสวงหากำไรในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพของ ABJ ให้มีประสิทธิภาพดีกว่าระบบเก่าที่มีอยู่ได้แน่ๆ

เขาเคยทำงานด้านสาธารณะสุขเพื่อค้นหาขบวนการทำงานที่ถูกต้องของการผดุงครรภ์ ช่วยทำให้อัตราการตายของเด็กที่คลอดในอินเดียมีอัตราลดต่ำลงอย่างเด่นชัด

มีเช็คลิสต์สำหรับหมอผ่าตัดว่าควรทำอะไรบ้าง และเมื่อปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง ก็พบอัตราความผิดพลาดหรือการตายของคนไข้น้อยลง

แค่ปรับปรุงวิธีการทำงานซึ่งเป็นผลของการวิจัยจากผู้มีความชำนาญ ก็สามารถทำให้การทำงานต่างๆมีผลลัพธ์ที่พลิกผันจากระบบเดิม มีการเปรียบเทียบว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากการค้นพบวัคซีนที่ช่วยมนุษย์ไว้ได้จำนวนมาก

ก่อนที่คุณหมอกาวานเดย์ จะตัดสินใจเข้ารับตำแน่งในบริษัทใหม่ เขาถามซีอีโอทั้งสามคนว่า คาดหวังอะไรจากโครงการดูแลสุขภาพนี้บ้าง ซึ่งได้ข้อสรุปที่เข้าใจง่ายๆว่า…

ขอให้มี ประสิทธิภาพดีขึ้น สร้างความพอใจกับผู้ใช้บริการมากขึ้น และทำให้ต้นทุนต่ำลง

ดูจากพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี การสนับสนุนทางด้านการเงินของทั้งสามบริษัท และประสบการณ์ของคุณหมอกาวานเดย์ คงพอคาดหวังสิ่งที่ดีขึ้นในอนาคตได้จริงๆ

ต้องคอยดูกันต่อไปว่า อุตสาหกรรมดูแลสุขภาพแบบเก่าจะถูกดิสรัปให้ล่มสลายไปเมื่อไหร่?!?
https://www.healthcareit.com.au/article/amazon-kicks-its-expansion-healthcare-plans-build-primary-clinics-employees

http://fortune.com/2018/01/31/jeff-bezos-amazon-health-care/

.

.

.

.

.

https://www.forbes.com/sites/forbesbooksauthors/2018/08/03/the-million-dollar-question-what-will-amazon-healthcare-look-like/#176b74554250

.

Leave a Reply