New Normal: การเดินทางในอนาคต รอสี่ชั่วโมง ยืนยันไม่ติดเชื้อโควิด-19 ซีทีสแกน ตรวจเลือด ใส่หน้ากาก ใส่ถุงมือ กระเป๋าฆ่าเชื้อ ไร้การสัมผัส แพงขึ้น

เครื่องบินของสายการบินต่างๆเกือบทั่วโลก ส่วนใหญ่ยังจอดนิ่งอยู่ และยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเปิดทำการกันเต็มที่ได้เมื่อไหร่ หรือเมื่อเริ่มออกบินได้แล้วจะมีผู้มาใช้บริการกันมากน้อยแค่ไหน

การเดินทางโดยเครื่องบิน หรือการบินระหว่างประเทศ ยังมีความจำเป็น และจะต้องกลับมาเปิดให้บริการอีก แต่แนวทางปฏิบัติคงเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็น New Normal ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก

ความมั่นใจของผู้โดยสารเป็นประเด็นสำคัญที่จะทำให้มีผู้กลับมาใช้บริการอีก แต่ความยุ่งยากในการเดินทางโดยเครื่องบิน อาจทำให้เกิดความท้อแท้ไม่อยากเดินทาง

เหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 ซึ่งอเมริกาโดนผู้ก่อการร้ายโจมตีพร้อมๆกันหลายแห่ง มีเครื่องบินถูกจี้มาถล่มตึกเวอร์ดเทรดในนิวยอร์ค ทำให้หลังจากนั้นมีความเข้มงวดของการเดินทางโดยเครื่องบินอย่างมาก มีความเชื่อกันว่าหลังจากนี้ไป การเดินทางผ่านสายการบินต่างๆ จะมีความเข้มงวดมากกว่าสมัย 9/11 เสียอีก

คราวนี้ไม่ได้กลัวผู้ก่อการร้าย แต่กลัวเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จะมีการสกรีนตรวจคัดกรองผู้โดยสารเข้มงวดขึ้นมาก และอาจมีข้อจำกัดหลายอย่างเกี่ยวกับกระเป๋าเดินทาง

SimpliFlying บริษัทที่ปรึกษาทางด้านการบิน ได้คาดคะเนไว้ว่า จะมีมากกว่า 70 อย่างที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไป

เริ่มตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน ผู้โดยสารต้องเตรียมหนังสือเดินทางที่มีการยืนยันว่าเป็นคนที่มีแอนติบอดีโควิด-19 ไม่มีเชื้อไวรัส มีหนังสือรับรองจากหมอ อาจมีการตีตราไว้ในหนังสือเดินทาง

ผู้ซื้อตั๋วต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ด้วยว่า อาจถูกปฏิเสธไม่ให้เดินทางด้วยสารพัดเหตุผล

ผู้เดินทางต้องถึงสนามบินก่อนเวลาเดินทางไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง เพราะขบวนการคัดกรองผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่องจะใช้เวลานานมาก

มีการตรวจคัดกรองว่าผู้โดยสารมีความฟิตพร้อมที่จะบินหรือไม่ ทางเข้ามีการตรวจวัดอุณหภูมิ มีอุโมงค์พ่นยาฆ่าเชื้อก่อนเข้าสนามบิน

มีด่านเช็คอินตรวจสุขภาพ ซึ่งอาจจะประกอบด้วย ตรวจเลือด หรือแม้แต่การทำซีทีสแกนปอด

กระเป๋าเดินทางจะถูกทำความสะอาดด้วยการฉีดพ่นควันหรืออาบแสงยูวี และมีการฆ่าเชื้อโรคให้ตาย

ผู้โดยสารต้องใส่ถุงมือและหน้ากากอนามัยตลอดเวลา มีการรักษาระยะห่างทางกายภาพ 1.5 เมตร ตลอดขบวนการคัดกรองเข้าสนามบิน

ไม่มีการสัมผัสอะไร ประตูเปิดปิดได้แบบอัตโนมัติ ไม่ต้องไปรอกันมากๆอยู่ในห้องเดียวกัน ผู้โดยสารจะขึ้นเครื่องได้เมื่อได้รับข้อความในมือถือเพื่อแจ้งให้ขึ้นเครื่อง

ช่องทางเดินเข้าเครื่องเป็นอุโมงค์ฆ่าเชื้อโรค และเดินเข้าทีละคนโดยทิ้งระยะห่างทางกายภาพ 1.5 เมตร

ที่นั่งบนเครื่องจะไม่อัดแน่นเหมือนที่เคยเป็นในอดีต ผู้โดยสารแต่ละคนจะนั่งห่างกันเพื่อป้องการการแพร่เชื้อจากระบบการหายใจ หรือสิ่งที่อาจจะกระเด็นออกมาจากปากหรือจมูก

ก่อนเครื่องออก นอกจากข้อมูลที่เตือนเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางแล้ว ยังมีวิดีโอเตือนเรื่องความปลอดภัยด้านสุขภาพด้วย

บนเครื่องจะไม่มีหน้าจอให้สัมผัสดูอะไร นิตยสารหรือแผ่นพับอะไรก็ไม่มีให้เห็นอีกต่อไป ทุก 30 นาที ต้องทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล

บนเครื่องบินอาจมีพนักงานทำความสะอาดประจำเครื่อง บริเวณที่มีการสัมผัสบ่อยจะมีการทำความสะอาดบ่อย ห้องน้ำจะได้รับการดูแลทำความสะอาดบ่อยมาก และมีการสอบถามความเห็นจากผู้โดยสารเพื่อให้คะแนนความสะอาด

ที่สถานีปลายทางก็จะมีการคัดกรองที่เข้มงวดหลายอย่าง เช่น ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ตรวจหนังสือเดินทางเพื่อยืนยันการปลอดเชื้อ

พนักงานสนามบินขาเข้า จะทำงานอยู่หลังกระจกหรือพลาสติกใสที่ป้องกันตัวเองจากการแพร่เชื้อจากผู้โดยสาร

เครื่องบินที่มาถึงสนามบินปลายทาง จะต้องถูกฉีดพ่นทำความสะอาดด้วยควันหรืออาบแสงยูวี มีการฆ่าเชื้อโรคห้องโดยสารทั้งหมดก่อนที่จะเปิดรับบริการผู้โดยสารชุดต่อไป

บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องอาจถูกยกเลิก ผู้โดยสารแต่ละคนอาจได้รับเป็นอาหารกล่องแทน

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงการคาดการณ์ทั้งนั้น แต่มาจากผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ปรึกษาด้านการบิน ในความเป็นจริงอาจเข้มงวดหรือหย่อนยานกว่าที่กล่าวมาก็ได้ แต่ข้อสำคัญที่สุดจะต้องมั่นใจว่า สายการบินต่างๆจะไม่พาใครที่ติดเชื้อไวรัสเดินทางข้ามประเทศ

New Normal ที่จะเกิดขึ้นกับสายการบินต่างๆ ทำให้ต้นทุนการเดินทางสูงขึ้น และอาจทำให้มีลูกค้ามาใช้บริการน้อยลง

วอเรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนเบอร์หนึ่งของโลกได้ตัดสินใจเทขายหุ้นสายการบินทั้งหมดที่มีอยู่ในมือออกไป เพราะมองไม่เห็นอนาคต และรับสารภาพว่าเป็นการลงทุนที่ผิดพลาด

เห็นการตัดสินใจของ วอเรน บัฟเฟตต์ แล้วทำให้คิดถึงอนาคตของสายการบินไทย!!!

The Rise of Sanitised Travel

 

Leave a Reply