เร้ดแฮท-ไอบีเอ็ม รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน Open Sourceช่วยนวัตกรรมใหม่โตเร็วขึ้น AI, Blockchainใช้ซอฟท์แวร์โอเพ่นซอร์ส 5GพลิกโฉมเทคโนโลยีCloud Computing

คนด้านขวาที่ร่วมถ่ายรูปด้วย คือ นายเดเมียน วอง รองประธานและผู้จัดการทั่วไป ตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพ ประจำภูมิภาคอาเซียน (GEMs) ของเร้ดแฮท ปัจจุบัน เป็นงานที่จัดขึ้นโดย Red Hat ในประเทศไทยเมื่อวันที่ 23-07-2019

เร้ดแฮท เป็นผู้ให้บริการไฮบริดคลาวด์ระดับโลก เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2019 มีการควบรวมกับ ไอบีเอ็ม อย่างเป็นทางการ โดยไอบีเอ็มเข้าซื้อกิจการของเร้ดแฮทคิดเป็นมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยมากกว่า 1 ล้านล้านบาท ถือว่าเป็นการซื้อกิจการด้านไอทีที่มีมูลค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ของไอบีเอ็ม

แม้จะเป็นเงินจำนวนมากที่ไอบีเอ็มต้องควักจ่ายออกไป แต่การควบรวมกิจการช่วยทำให้ศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจของทั้งสองบริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ไอบีเอ็ม บริษัททคโนโลยีที่มีประวัติยาวนานเกินหนึ่งร้อยปี แม้ว่าวันนี้จะไม่ใช่อันดับหนึ่งของโลก แต่ไอบีเอ็มยังเป็นบริษัทที่อยู่แถวหน้าของโลกเทคโนโลยี มีรายได้มากถึง 78,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี มีคนทำงานที่อยู่ทั่วโลกรวม 380,000 คน

ส่วน เร้ดแฮท เป็นบริษัทเทคที่มีความชำนาญด้านไฮบริดคลาวด์ และโดดเด่นที่สุดในโลกด้านโซลูชันโอเพ่นซอร์ส เป็นบริษัทที่เอา Linux ไปพัฒนาต่อยอดเพิ่มเติมไปหลายเวอร์ชั่นแล้ว วันนี้เป็นระบบปฏิบัติการ Red Hat Enterprise Linux 8

นายเดเมียน วอง กล่าวถึงการควบรวมกิจการครั้งนี้ว่า…

“เร้ดแฮทมีพนักงานประมาณ 14,000 คน มีรายได้ต่อปี 3 พันล้านดอลลาร์ ถ้าเทียบกับไอบีเอ็มแล้วแตกต่างกันมาก การควบรวมกิจการครั้งนี้ช่วยยกระดับเร้ดแฮทให้โตขึ้น เราสามารถใช้ความใหญ่ของไอบีเอ็มเข้าถึงลูกค้าองค์กรต่างๆได้มากขึ้น ช่วยทำให้ธุรกิจเดินหน้าได้เร็วขึ้น ดีกว่าการเดินไปข้างหน้าตามลำพัง”

“เรามีข้อจำกัดที่เป็นความเชี่ยวชาญในบางอุตสาหกรรม เช่น ธนาคาร การดูแลสุขภาพ แต่ไอบีเอ็มมีความชำนาญอย่างลึกซึ้งในหลายภาคส่วนธุรกิจ มันช่วยทำให้ เร้ดแฮทมีความยึดหยุ่นมากขึ้น สามารถเข้าถึงอุตสาหกรรมต่างๆมากขึ้น”

คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นยุคของคลาวด์คอมพิวติ้ง ทั้งข้อมูลและการคิดคำนวณด้วยซอฟต์แวร์ไม่ต้องทำกันบนเครื่องคอมหรือมือถือที่อยู่ติดตัว แต่ไปทำข้างนอก เหมือนไปทำงานอยู่บนก้อนเมฆ

ไม่จำเป็นต้องมีเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ของตัวเอง หรือแม้แต่ซอฟต์แวร์ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อลิขสิทธิ์เป็นของตัวเอง ไปใช้กันบนคลาวด์ด้วยการบอกรับเป็นสมาชิก

สตาร์ตอัพใหม่ๆหรือองค์กรต่างๆที่เพิ่งวางระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ของตัวเอง จะเริ่มเข้าสู่ระบบคลาวด์แบบ 100% กันเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับบริษัทอื่นๆที่มีระบบเก่าใช้อย่างต่อเนื่องมานาน การหันไปใช้คลาวด์อย่างเต็มตัวทันทีอาจจะค่อนข้างยุ่งยาก แต่ในที่สุดทุกองค์กรก็ต้องหันไปสู่คลาวด์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในวันนี้ การทำงานต่างๆของคอมพิวเตอร์ทั่วโลกประมาณ 80% ยังไม่ใช่คลาวด์ มันหมายถึงโอกาสเติบโตที่ยังมีอยู่อีกมาก

ระบบ Open Source ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีถูกลง ช่วยทำให้การเปลี่ยนผ่านของนวัตกรรมใหม่ๆเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า ยกตัวอย่างเช่น AI, ML, Blockchain ต่างก็เป็น Open source ทั้งนั้น

ไอบีเอ็มยังเป็นรองด้านคลาวด์กับคู่แข่งรายใหญ่อย่าง อเมซอน และไมโครซอฟท์ การควบรวมกับ เร้ดแฮท จะช่วยทำให้ศักยภาพด้านคลาวด์ของไอบีเอ็มแข็งแกร่งขึ้นอีกมาก

ปี 2020 จะเริ่มมีการใช้ 5G กันอย่างกว้างขวางขึ้น หมายถึงการพลิกโฉมครั้งใหญ่ของโครงสร้างพื้นฐานอินเตอร์เน็ต ทำให้การส่งผ่านข้อมูลดิจิตอลทำได้มากขึ้น และเร็วขึ้น ซึ่งหมายถึงอนาคตที่ดีขึ้นอย่างเด่นชัดของ Cloud Computing!!!

 

Leave a Reply