วิกฤติโควิด-19 แย่กว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง ไทยเจอกับการระบาดระลอกใหม่ เอสเอ็มอี มีแนวโน้มล้มหายอีกมาก การสร้างธุรกิจมุ่งเน้นกลุ่มคนรวยกระจุก อาจเป็นทางรอด

การระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ในประเทศไทยซึ่งมีแหล่งแพร่เชื้อใหญ่ในจังหวัดสมุทรสาคร มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากกว่า 800 ราย กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่มาถล่มเศรษฐกิจไทย อีกครั้ง

วันที่ 21-12-2563 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หุ้นตก 80.60 จุด หรือลบ 5.44%

ซุปเปอร์สเปรดเดอร์ครั้งใหญ่คราวก่อน เกิดขึ้นที่สนามมวยของทหาร และสำหรับคราวนี้มาจากแรงงานต่างชาติที่ลักลอบเข้าไทยอย่างผิดกฎหมาย ไม่ได้ผ่านการคัดกรองหรือการกักตัว

มีข้อครหาว่า หน่วยงานราชการที่ดูแลชายแดนไทยมีส่วนพัวพันกับการรับสินบน ทำให้มีการลักลอบเข้าเมืองกันเป็นจำนวนมาก คุณดำรง พุฒตาล เปิดเผยว่ามีข้อมูลจากเพื่อนนักธุรกิจแจ้งว่ามีการจ่ายค่าหัวแบบผิดกฎหมายรายละ 10,000 บาท

มีคนกลุ่มเล็กๆที่ได้เงินแบบผิดกฎหมายจากค่าหัวการลักลอบพาแรงงานเข้าประเทศไทย แต่เศรษฐกิจไทยทั้งระบบจะต้องรับเคราะห์

มีการประเมินว่าการล็อกดาวน์ในสมุทรสาครแต่ละวัน มีความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่าวันละ 1,000 ล้านบาท

วันนี้ล็อกดาวน์แค่สมุทรสาคร แล้ววันต่อๆไปจะเป็นอย่างไร?

มีข่าวผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในหลายจังหวัดเพิ่มขึ้น มีความเป็นไปได้สูงมากที่เศรษฐกิจไทยจะต้องสะดุดอีกครั้ง อาจมีการล็อกดาวน์ครั้งใหญ่ในหลายจังหวัดอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายเมืองของโลกมาก่อนแล้ว

หลงดีใจว่าเราสามารถแก้ปัญหาโควิด-19 ได้ดีที่สุดในโลก และเศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้เร็วกว่าที่กลัวกัน วันนี้ต้องมาทบทวนกันใหม่

การตกลงของหุ้นที่รุนแรงในวันนี้ เป็นเครื่องชี้วัดความกังวลในเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนมาก

วิกฤติเศรษฐกิจจากโควิด-19 คราวนี้ เป็นวิกฤติระดับโลก เสียหายทุกประเทศทั่วโลก

วิกฤติโควิด-19 แย่กว่าวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540

ปัญหาในปี 2540 เกิดขึ้นกับธุรกิจขนาดใหญ่เป็นหลัก ธุรกิจรายเล็กหรือประชาชนทั่วไปได้รับผลกระทบน้อยมาก ภาคการเกษตรยังช่วยอุ้มชูให้คนจำนวนมากมีทางออก

แต่คราวนี้มันตกต่ำดิ่งลงทุกภาคส่วน ลงลึก และจะย่ำแย่อยู่นาน

ธุรกิจขนาดใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก แต่เอสเอ็มอีหรือธุรกิจขนาดกลางและเล็ก จะต้องล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก

ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าแย่ที่สุดในโลก จะยิ่งแย่ไปอีก

คนส่วนบนของประเทศไทยประมาณ 10% เป็นวีไอพีที่ครองความมั่งคั่งของทรัพย์สินทั้งประเทศเกือบ 80%

ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดเผยข้อมูลว่า ประเทศไทยไม่ได้ขาดสภาพคล่อง แต่เงินไปกระจุกอยู่กับกลุ่มคนรวย ไม่กระจายไปสู่เอสเอ็มอี หรือคนส่วนล่างซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

Soft Loan 500,000 ล้านบาทที่ปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารพาณิชย์ ปล่อยออกไปเพียง 120,500 ล้านบาท ตั้งใจให้สินเชื่อ SME เป็นหลัก แต่ธนาคารไม่ยอมปล่อยสินเชื่อเพราะความเสี่ยงสูง กลัวหนี้สูญ

หนี้เสียในระบบมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

วันนี้มีคดีหนี้สินอยู่ในระบบมากถึง 470,000 คดี และจะมีเพิ่มขึ้นอีกแน่ๆ

หลายๆธุรกิจย่ำแย่ตั้งแต่ก่อนมีโควิด-19 เมื่อโควิด-19 โถมใส่เข้ามา ทำให้ตายเร็วยิ่งขึ้น

ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า GDP ของไทยจะเริ่มเป็นบวกในไตรมาส 2 ของปี 2564 และกลับไปอยู่ในระดับเดียวกับก่อนเจอโควิด-19 ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 แต่เป็นการประเมินก่อนมีข้อมูลการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้

นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยปีละประมาณ 40 ล้านคน วันนี้หายไปหมด ไม่รู้อีกกี่ปีถึงจะดีขึ้น จะกลับมาได้เหมือนเดิมหรือเปล่า?

จะต้องมีธุรกิจที่ไปไม่รอดในวิกฤติครั้งนี้จำนวนมาก

การประคองตัวของหลายๆธุรกิจ จะเป็นแค่การประคองให้ตายช้าลงเท่านั้น!!!

ทางออกที่นักวิเคราะห์ทั่วโลกเห็นตรงกัน คือ การสร้างธุรกิจที่เน้นเรื่องการบริโภคภายในประเทศ หรือ Localization หากินกันเองภายในประเทศ

และสำหรับประเทศไทย เมื่อวิเคราะห์โครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก และจะสูงมากขึ้นต่อเนื่อง มันชี้ชัดว่าการหากินกับคนรวยๆจะมีโอกาสมากกว่า

สินค้าและบริการที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนในระดับบนของประเทศที่มีอยู่เพียง 10% แต่มีความมั่งคั่งมากถึง 80% ของทั้งประเทศ จะช่วยทำธุรกิจยั่งยืนได้มากกว่า

สภาพแวดล้อมเศรษฐกิจไทยวันนี้ดูน่าสิ้นหวังมาก แต่ทุกคนก็ต้องดิ้นรนเพื่อหาทางอยู่รอดให้ได้

ถ้าสามารถถีบตัวเองให้เป็นคนส่วนบน 10% ของประเทศ ก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น

การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของประเทศไทย ดูเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้

ยิ่งมาเจอวิกฤติโควิด-19 มันยิ่งซ้ำเติมสภาพที่แย่อยู่แล้ว ให้แย่ยิ่งขึ้น!!!

https://www.facebook.com/turakij4.0/posts/1782164621941552

https://www.set.or.th/set/mainpage.do?language=th&country=TH

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000130043

Leave a Reply